วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความเสี่ยง!...ครึ่งปีหลัง ลงทุนยังไงให้ได้ผลตอบแทนสวย

chinese new year Graphics


จากความกังวลต่อวิกฤติหนี้ยุโรป ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและยังคงมีความผันผวน ดังนั้น ในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 นี้หลายฝ่ายมองว่ายังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้เดิม เนื่องจากปัญหาหนี้ในประเทศยุโรป ซึ่งธนาคารกลางยุโรปเองได้ออกมาเตือนว่า ปัญหาหนี้ยุโรปยังไม่จบ และอาจเกิดปัญหาหนี้ระลอก 2 ในอีก 18 เดือนข้างหน้าอีกด้วย แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐจะสนับสนุนการฟื้นตัวก็ตาม

ขณะที่ทวีปเอเชียและตลาดเกิดใหม่ ถึงแม้จะเป็นกลไกสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในรอบนี้ด้วย แต่ยังมีความเสี่ยงอยู่โดยเฉพาะความกังวลของนักลงทุนต่อการเกิดฟองสบู่อสังหาฯในจีนกับการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย

มองแบบนี้แล้ว เห็นแต่ความเสี่ยงรอบกาย...แต่ในมุมมองของผู้รู้ และผู้บริหารกองทุนรวม เขาจะประเมินทิศทางการลงทุนอย่างไรบ้างในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือนี้ ตบท้ายด้วยคำแนะนำดีๆ ว่า การลงทุนอะไรที่จะทำให้เราสามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีได้ต่อไปในอนาคต...

เริ่มกันที่ ทนง พิทยะ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ทหารไทย จำกัด บอกว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นค่อนข้างได้ดีและผ่านจุดที่เลวร้ายไปแล้ว โดยเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้จากการส่งออก แม้จะไม่สูงเมื่อเทียบกับก่อนเกิดวิกฤต แต่ภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังขึ้นอยู่กับการสร้างความมั่นใจ เนื่องจากมองว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองอาจส่งผลต่อนักลงทุนหน้าใหม่ และภาคการท่องเที่ยวของไทย

"ตอนนี้นักเศรษฐศาสตร์หลายราย ไม่อยากเห็นการเมืองบั่นทอนเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทางการเมืองยังต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งผมเองก็อยากให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว และกลับมาปกติสุข เพราะถ้ามองภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 1 กระเตื้องขึ้นค่อนข้างดี จึงมั่นใจได้ว่าผ่านปากเหวไปได้"

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในครึ่งปีหลังก็เห็นสัญญาณปรับขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะอยู่ระดับ 3-4% และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 2% ถือว่าเป็นสัญญาณมีแนวโน้มที่ ธปท.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 3 นี้

สำหรับกรณีการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนของข้าราชการ มองว่าเป็นแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นได้ แต่เชื่อว่า ธปท.จะดูแลเงินเฟ้อได้ดี ส่วนเงินเฟ้อทั่วโลกขณะนี้ยังคาดเดาได้ยาก เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีปัญหาอยู่

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการลงทุนมีสูงขึ้น เพราะตลาดเงินส่วนใหญ่อยู่ประเทศยักษ์ใหญ่ ดังนั้น นักลงทุนควรกระจายการลงทุน พร้อมแนะนำลงทุนกองทุนทองคำ หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ ที่เห็นว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

สมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) บอกว่า การลงทุนในครึ่งปีหลัง ในระบบยังมีสภาพคล่องล้นสูงอยู่ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยไม่น่าจะปรับขึ้นแรงในช่วงระยะ 2 ปีจากนี้ ดังนั้น นักลงทุนจะเลือกลงทุนกันมากขึ้น โดยตราสารหนี้หรือพันธบัตรอายุ 1-1 ปีครึ่งจะได้รับความน่าสนใจมากกว่า

ส่วนกองทุนพันธบัตรเกาหลีคาดว่าจะมีเงินไหลเข้าน้อยลง คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังคงจะยากที่จะผลักดันให้กองทุนรวมทั้งอุตสาหกรรมเติบโตไปถึงเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 20% แต่ในส่วนของบริษัทเชื่อว่าสามารถโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 20%

ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) บอกว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยครึ่งปีแรกมีอัตราการเติบโตที่ดี สังเกตได้จากตัวเลขการเติบโตภาคส่งออกซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเพิ่มถึง 42% ขณะที่ในช่วง 5 เดือนแรกของปีมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 35% และประมาณการว่า รายได้ที่มาจากภาคการส่งออกของปี 2553 จะกลับไปใกล้เคียงกับตัวเลขรายได้ที่มาจากภาคการส่งออกปี 2551 คือที่ 170,000 ล้านบาท

ส่วนในครึ่งปีหลังไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงทั้งจากต่างประเทศที่มากขึ้น การเมืองในประเทศ และปัญหาภัยแล้ง ทำให้เชื่อว่าตัวเลขอัตราการเติบโตของจีดีพีช่วงครึ่งปีหลังจะต่ำกว่าตัวเลขอัตราการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกแน่นอน แต่โดยรวมแล้วจีดีพีของไทยทั้งปีน่าจะขยายตัวอยู่ที่ 4.3-5.8%

สำหรับปัจจัยต่างประเทศ นอกจากปัญหาหนี้ของยุโรปที่ทำให้การกำกับดูแลธนาคารในสหรัฐฯและยุโรปเข้มขึ้น ทำให้เงินทุนไหลเวียนน้อยลงแล้ว ก็คือปัญหาการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง ซึ่งเป็นผลกระทบจากปัญหาน้ำมันรั่วจากแท่นขุดเจาะของบีพีในอ่าวเม็กซิโก ส่งผลกระทบต่อกองทุนหรือสถาบันที่เข้าไปถือหุ้นในบีพี และยังทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น

ประภาส ตันติพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด บอกว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมองว่าการลงทุนยังมีโอกาสที่ดีอยู่สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ หรือคอมอดิตี้ โดยเฉพาะการลงทุนในทองคำทองคำที่สามารถคาดหวังผลตอบแทนได้ เนื่องจากหลังเกิดวิกฤตหนี้ในยุโรปได้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรงและเกิดความผันผวนต่อเนื่อง แต่หากหลังจากนี้ปัญหาหนี้ในยุโรปไม่ปรากฏตัวเลขที่เลวร้ายลงกว่าที่ตลาดคาดการณ์อีก ก็จะสะท้อนว่าทิศทางตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวเป็นขาขึ้น

ทั้งนี้ การลงทุนในน้ำมันและพันธบัตรมีความน่าสนใจน้อย เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่แข็งแกร่ง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันยังไม่สูงมากนัก โดยคาดราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยแม้จะมีการปรับขึ้น 0.25-0.5% แต่เชื่อว่าผลตอบแทนของพันธบัตรยังคงอยู่ระดับต่ำ ขณะที่การลงในทองคำนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามจังหวะ เพราะหากปัญหาหนี้ในยุโรปยังคลุมเครือไม่คลี่คลายลง นักลงทุนจะยังลงทุนทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงทำให้ราคาทองมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก

ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Link-Seed

  • Link-Seed - ผมได้รวบรวมลิงค์ "การเงิน-การลงทุน" ที่ผมสนใจมาแปะเอาไว้ในบล็อก Link-Seed เพื่อเป็นเครื่องมือในการหาข้อมูลข่าวสาร และนำมาพิจารณาการลงทุนอีกทีหนึ่ง เพื่อนๆ ...
Custom Search
 
Financeseed Copyright © 2009 Blogger Template Designed by Bie Blogger Template