วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

เล่นหุ้นอย่างไรให้รวยโคตรๆ


“ปกติการเล่นหุ้นเก็งกำไรถ้ามีกำไร 3ช่วงราคา ก็ต้อง Take Profit แล้ว บางคนใช้วิธีกำไรเกินค่าคอมมิชชั่น 2 ช่วงราคาก็ขาย หรือถ้าเข้าจังหวะผิดขาดทุน 1-2 ช่วงราคา ก็ต้อง Stop Loss”
บุญส่ง ปาลิไลยก์ คลุกคลีกับวงการหุ้นมานาน เขาเห็นลูกค้าที่รวยจากหุ้น และเจ๊งหุ้นมาแล้วนับไม่ถ้วน ทั้งจากประสบการณ์ที่ดูแลพอร์ตให้ลูกค้าระดับหลายสิบล้านบาททุกวัน และจากการพบปะพูดคุยกับนักเล่นหุ้นมาแล้วนับไม่ถ้วน จนกลั่นกรองมาเป็นบัญญัติ 10ประการในการลงทุนให้ประสบผลสำเร็จ


ข้อแรก “เก็งกำไรต้องยอมเก็งขาดทุนเมื่อเข้าจังหวะผิด”
เขาบอกว่า เห็นนักเล่นหุ้นเจ๊งมามากต่อมาก เพราะซื้อหุ้นเป็นแต่ขายหุ้นไม่เป็น สุดท้ายมีแต่หุ้นขาดทุนอยู่เต้มพอร์ต

“ถ้าเรารักจะเป็นนักเก็งกำไร เมื่อรู้ว่าเข้าจังหวะผิดต้องรีบทิ้งโดยเร็ว อย่ารอให้ขาดทุนน้อยกลายเป็นขาดทุนมาก จนกลายเป็นนักลงทุนจำเป็น”

ข้อสอง “อย่าเลี้ยงลูกเป็นฝูง”
ไม่ใช่เห็นใครแนะนำว่า หุ้นตัวนี้ดี ซื้อหมด สุภาษิตไทยบอกว่ามีลูกมากจะยากจน บุญส่งบอกว่า เลือกลงทุนในหุ้นที่น่าสนใจ 3-5 ตัวก็พอ มากกว่านี้รับรองคนเดียวดูแลไม่ไหว

“ที่ผมบอกว่าลงทุนหุ้น 3-5ตัว ผมหมายถึงควรเลือกหุ้นที่เล่นกึ่งลงทุนกึ่งเก็งกำไร ส่วนตัวที่จะเล่นเก็งกำไรประเภทซื้อเช้าขายบ่าย หรือซื้อวันนี้ขายพรุ่งนี้ควรเล่นทีละตัว หุ้นพวกนี้ต้องเล่นตามตลาด และต้องไว มันไปผูกับกฏข้อแรกที่ว่า ถ้าเข้าจังหวะผิด 2-3 ช่วงราคาคุณต้องโยนแล้ว อย่ารอให้ราคาร่วงลงมาถึง 5%แล้วค่อยขาย”

ข้อสาม “อย่าฝืนตลาด เริ่มเมาหมัดต้องหยุด”
ถ้ารู้ว่าตลาดช่วงไหนเล่นไม่ได้ อย่าเล่น ถ้าขาดทุนอย่าเอาชนะมัน เพราะตลาดหุ้นคุณเอาชนะมันไม่ได้ ข้อสำคัญคืออย่าไปฝืน ถ้ามองตลาดเป๋ไปเป๋มา แสดงว่าเราเริ่มเมาหมัด ต้องกลับมาสำรวจตัวเองว่า เรามองอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า?
ข้อสำคัญอีกอย่างคือ การทำตัวให้เข้าสถานการณ์ ถ้าตลาดเล่นไม่ได้ บรรยากาศไม่ดี วอลุ่มหาย ก็ต้องหยุด


ข้อสี่ “ต้องมีระเบียบวินัย”
บุญส่งบอกว่าที่มักพบกันบ่อยคือ นักเล่นหุ้นไม่ค่อยมีวินัยในตัวเอง สมมติว่าตั้งเป้าจะเล่นหุ้นแค่ 1ล้านบาท ก็ซื้อหุ้นเกินวงเงินไปอีก
เมื่อตั้งเป้าหมายว่ามีกำไร 20% จะขาย พอหุ้นขึ้นมาก็ไม่ขาย

“โดยรวมแล้ว หุ้นส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวระหว่าง “แนวรับ” กับ “แนวต้าน” พอขึ้นไปชนแนวต้านไม่ผ่านก็ลงมาที่แนวรับ จนกว่าแรงขายจะอ่อนแล้ว “ไซด์เวย์” ออกด้านข้าง..
อีกสัพักก็จะมีคนเข้ามาเล่นรอบใหม่”

บุญส่งย้ำว่า อย่ากลัวจะ “ตกรถ”
ผมหมายถึงว่า เวลาหุ้นขึ้นแรงๆ ใครที่กลัวซื้อไม่ทัน มักจะติดหุ้น ถ้าเราศึกษาข้อมูลก่อนจะเห็นว่า เอ๊ะ หุ้นตัวนี้มันขึ้นมาเยอะแล้วนะ รอให้ปรับตัวก่อนค่อยเข้า เพราะหุ้นมีให้คุณเล่นตลอดชีวิตไม่ต้องกลัว ถ้าตัวนี้ซื้อไม่ได้ เดี๋ยวก็มีตัวอื่นให้คุณซื้อ ขออย่างเดียวซื้อหุ้นต้องมีระเบียบวินัย”

ข้อห้า “ตามกลิ่นเม็ดเงิน”
สมมติว่า ช่วงนี้เขาเล่นกัน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแบงก์ ไฟแนนซ์ และ ที่ดิน ก็ให้เล่นตาม อย่าไปเข้ากลุ่มสื่อสาร หรือกลุ่มส่งออก หรือเรารู้แล้วว่าตอนนี้บาทแข็งส่งออกไม่ดี ก็อย่าฝืน
แต่หากมีหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มที่ไม่มีคนเล่น เราก็ซื้อลงทุน จะเล่นเก็งกำไรไม่ได้
“เล่นหุ้นเก็งกำไรต้องตามเม็ดเงินตลาด อย่างตอนนี้เขากำลังฮิตหุ้นที่ดินตัวเล็ก เราก็เล่นหุ้นที่ดินตัวเล็ก...
แต่หากเล่นแบบลงทุนไม่จำเป็นต้องตามใครให้ดูกิจการเป็นสำคัญ”
และเหนืออื่นใด บุญส่งบอกว่า เราต้องรู้ “อนาคต” ของกิจการนั้น

ข้อหก “ดูจังหวะซื้อขาย สังเกตปริมาณราคาย้อนหลัง”

ข้อนี้ถื่อเป็นหัวใจของการเล่นหุ้นเก็งกำไรเลย สมมติวันนี้เขาเล่น CGS เราก็ต้องดูว่าราคาที่เราเข้าไปเสียเปรียบคนอื่นมากมั้ย

“จากประสบการณ์ของผม ถ้าเล่นหุ้นเก็งกำไรให้ดูราคากับปริมาณหุ้นเป็นสำคัญ ดูว่าราคาหุ้นขึ้นไปมีวอลุ่มสนับสนุนหรือเปล่า ถ้าราคามาพร้อมกับวอลุ่ม เราเล่นตามน้ำได้....
แต่จุดหนึ่งก็คือ ก่อนเข้าไปทุกครั้งให้ดูการเคลื่อนไหวของหุ้น 2 สัปดาห์ย้อนหลังว่า “ต้นทุน” ของเราเสียเปรียบคนอื่นมากแค่ไหน....
ถ้าเล่นเก็งกำไรดูข้อมูลแค่ 2สัปดาห์ก็พอ หุ้นตัวไหนถ้าราคากำลังจะวิ่ง จะมี “เจ้ามือ” มาทยอยเก็บของก่อน 1-2 สัปดาห์ แล้วถึงมาไล่
อย่างวันแรกถ้าราคาไป โอเคเข้าได้ วันที่สองยังพอเล่นได้ แต่หากหุ้นขึ้นแรงวันที่สามเล่นไม่ได้แล้ว จากประสบการณ์ของผมวันที่ 3 ถ้าเข้าไปไล่โอกาส “ติดหุ้น” มีมากกว่าไม่ติด”
เวลาดูว่า “เจ้ามือ” เลิกเล่นหรือยังนั้น เขาบอกว่า “ดูง่ายมาก” ให้ดูปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาด ถ้ายังไม่ลดลงแสดงว่าเขายังไม่เลิกเล่น แต่หากปริมาณหุ้นซื้อขายลดลง แต่ภาพรวมตลาดยังดูดีอยู่ อย่างนี้เล่นไม่ได้ อีกอย่างให้สังเกตจากปริมาณการ “ตั้งรับ”
ยกตัวอย่างเช่น หุ้น N มีคนมาตั้งรับที่ราคา 17-17.10 บาทแน่นมาก เวลาหุ้นตกมาถึงราคานี้จะมีคนเก็บหมด พอแรงขายเริ่มอ่อนหุ้นจะ “ตีขวา” วิ่งขึ้นไปเลย นี่แสดงว่ามี “เจ้ามือ” มาคอยรับอยู่
แต่หุ้นบางตัวก็ต้องระวัง เช่นหุ้นที่เจ้ามือ “ลากขึ้นไป” โดยไม่มีวอลุ่ม พอมีคนเริ่มมาแจมด้วยก็จะถูกทุบลงมาข้างล่าง

ข้อเจ็ด “รู้เขารู้เรา ศึกษาข้อมูลกิจการ”
ต้องรู้จักกิจการที่เราซื้อว่าเขาทำอะไร ตอนนี้ธุรกิจประเภทนี้เป็นขาขึ้น หรือขาลง กำไรในช่วง 1-2 ไตรมาสที่ผ่านมาเป็นอย่างไรนักวิเคราะห์เขาเชียร์ให้ซื้อไม่
ถ้าปีนี้เขาบอกว่ากำไรบริษัทนี้จะเพิ่มขึ้นมาก ก็ต้องตั้งคำถามว่า เอ๊ะ แล้วกำไรมันมาจากไหน ถ้ามาจากการปรับโครงสร้างหนี้ก็อย่าไปสน ถ้ามาจากธุรกิจ ก็มาดูว่าราคาตอนนี้มี P/E เรโชกี่เท่า แพงไปหรือยัง ปีนี้คาดว่าบริษัทจะจ่ายปันผลเท่าไหร่
“สมมติว่า ถ้านักวิเคราะห์บอกว่าปีนี้บริษัทจะมีกำไรต่อหุ้น 4บาท จ่ายปันผล 50% เท่ากับหุ้นละ 2บาท เราก็มาคิดว่าถ้าจ่ายเกิน 2เท่าของดอกเบี้ยเงินฝากเราก็พอใจ
สมมติว่าเราต้องการที่ 5% หุ้นตัวนี้ราคาก็ควรที่จะอยู่ที่ 40 บาท (เอา 2 บาท /หาร 5 / คูณ 100 ) แล้วก็มี P/E เรโชที่ 10 เท่า ( 40 บาท / หาร 4 บาท) เราก็เอาไปเทียบกับของกลุ่มว่า แพงไปมั้ย เริ่มมีคนสนใจเข้ามาเล่นบ้างหรือยัง ถ้าเจอหุ้นดีเราก็ถือลงทุน”

ข้อแปด “ศึกษาพฤติกรรมของหุ้น 2 -3 ตัวก็เพียงพอ”
เวลาจะเล่นเก็งกำไร บุญส่งบอกว่า อย่าเป็นพวกจับปลาหลายมือ ให้จับตาดูพฤติกรรมของหุ้น 2-3 ตัวก็พอ สิ่งที่เราต้องรู้คือ พฤติกรรมของหุ้นตัวนี้ที่ผ่านมา มีคนเข้าไปร่วมวงเก็งกำไรมากน้อยแค่ไหน ราคาวิ่งอยู่ในกรอบประมาณเท่าไร
หุ้นหลายตัวสังเกตง่าย ราคาจะวิ่งระหว่าง “แนวรับ” กับ “แนวต้าน แล้วก็ดูวอลุ่มประกอบ เวลาดูแนวโน้มตลาดก็ง่าย ให้ดูแนวรับ แนวต้าน ดูเป็นขั้นๆไป
เช่น 700 จุดผ่านได้มั้ย ผ่านไม่ได้ก็มาดู 695 ถ้าหลุดก็มาดู 685 ถ้ารับไม่อยู่อีกก็มาดูที่ 670 จุด
เวลาขึ้นก็ให้ดูเป็นขั้นๆไปเหมือนกัน
“ข้อมูลพวกนี้นักวิเคราะห์เค้าทำการบ้านให้เรา ถามมาร์เก๊ตติ้งก็ได้ ถ้ารับไม่อยู่ก็ต้องขาย ถ้าผ่านไปได้ก็เล่นต่อ”

ข้อเก้า “กำหนดกลยุทธก่อนลงทุน”
สมมติว่าคุณเจอหุ้นเก็งกำไร เห็นวอลุ่มเริ่มมาแล้ว ก่อนเข้าซื้อคุณก็ต้องกำหนดกลยุทธก่อน เช่น คุณต้องรู้วา “แนวรับ – แนวต้าน” ของหุ้นตัวนี้อยู่ตรงไหน เราจะได้รู้ว่าควรจะตั้งซื้อที่ราคาเท่าไร ซื้อกี่หุ้น ตั้งขายที่ราคาเท่าไร ขายกี่หุ้น

“สมมติว่า เราตั้งเป้าจะซื้อหุ้นตัวนี้ที่ราคา 5 บาท ถ้าหุ้นขึ้น 5.05 – 5.10 บาท โอเค สูงกว่าเป้านิดหน่อยเข้าได้ แต่ถ้าเปิดมากระโดดเป็น 5.50 บาท เราเข้าไปไล่ซื้อเลย วิธีนี้ผิด นั่นไม่เรียกว่ากำหนดกลยุทธ์
การกำหนดกลยุทธ์หมายความว่า ถ้าเมื่อวานปิดที่ 5บาท เราตั้งเป้าจะซื้อวันนี้ที่ 5 – 5.10 บาท แล้วขาย 5.50 บาท อย่างนี้เรียกว่ากำหนดกลยุทธ์ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด ให้เรากำหนดตามแนวโน้มตลาด”

ข้อสิบ “รู้จัก Stop Loss และ Take Profit”

คือ ปกติการเล่นหุ้นเก็งกำไรถ้ามีกำไร 3 ช่วงราคา ก็ต้อง Take Profit แล้ว บางคนใช้วิธีกำไรเกินค่าคอมมิชชั่น 2 ช่วงราคาก็ขาย หรือถ้าเข้าจังหวะผิดขาดทุน 1 – 2 ช่วงราคา ก็ต้อง Stop Loss
ถ้าเข้าจังหวะผิด แต่ไม่ยอมขาดทุน แสดงว่าคุณไม่มีระเบียบวินัย เว้นเสียแต่เล่นลงทุน ซื้อต้นทุนไม่แพง ถ้าเป็นอย่างนั้นหุ้นตกรอรับปันผลได้ ถือว่าไม่เป็นไร

“หุ้นเก็งกำไรส่วนใหญ่ที่เล่นๆกันไม่ว่าจะเป็น NWR หรือ KMC ส่วนใหญ่ยังขาดทุน ไม่มีปัญญาจ่ายปันผลให้คุณแน่นอน หุ้นอย่างนี้ถือลงทุนไม่ได้เลย ราคาขึ้นมา 3 – 4 ช่วงราคาก็ต้อง Take Profit
ถ้าขาดทุนก็ต้องรีบ Stop Loss ถ้าติดหุ้นแล้วจะมาบอกว่าเป็นนักลงทุนจำเป็นไม่ได้”
บัญญัติ 10 ประการในการลงทุนของ บุญส่ง ปาลิไลยก์ ถึงแม้จะเน้นถึงวิธีเล่นหุ้นเก็งกำไรเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าใครทำได้แม่นยำ ก็มีโอกาสกำไรมากกว่าขาดทุน
แต่เขาบอกอีกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เห็นนักลงทุนหลากหลายประเภท คนที่เล่นหุ้นแล้วรวยจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักลงทุน ไม่ใช่นักเก็งกำไร
เพราะการเล่นหุ้นเก็งกำไรยิ่งถือนานยิ่งเสียเปรียบ เข้าจัวหวะผิดก็ต้องโยน เทียบแล้ว ไม่ได้ให้ผลตอบแทนคุ้มต่อความเสี่ยง
“ลองคิดดูง่ายๆ คุณซื้อขายหุ้นวันละ 2 – 3 รอบ ถามหน่อยเถอะ ว่าคณ หรือโบรกเกอร์รวย” เขาทิ้งท้าย


บัญญัติเล่นหุ้น 10 ประการ ของ บุญส่ง ปาลิไลยก์

1. เก็งกำไรต้องยอมเก็งขาดทุน เมื่อเข้าจังหวะผิด
2. อย่าเลี้ยงลูกเป็นฝูง
3. อย่าฝืนตลาด เริ่มเมาหมัดต้องหยุด
4. ต้องมีระเบียบวินัย
5. ตามกลิ่นเม็ดเงิน
6. ดูจังหวะซื้อขาย สังเกตปริมาณราคาย้อนหลัง
7. รู้เขารู้เรา ศึกษาข้อมูลกิจการ
8. ศึกษาพฤติกรรมของหุ้น2 – 3 ตัว ก็เพียงพอ
9. กำหนดกลยุทธก่อนการลงทุน
10. รู้จัก Stop Loss และ Take Profit

By loveseo ประสบการณ์สอนว่า....เล่นหุ้นอย่างไรถึงจะรวย

Link-Seed

  • Link-Seed - ผมได้รวบรวมลิงค์ "การเงิน-การลงทุน" ที่ผมสนใจมาแปะเอาไว้ในบล็อก Link-Seed เพื่อเป็นเครื่องมือในการหาข้อมูลข่าวสาร และนำมาพิจารณาการลงทุนอีกทีหนึ่ง เพื่อนๆ ...
Custom Search
 
Financeseed Copyright © 2009 Blogger Template Designed by Bie Blogger Template