วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อัพแอนด์ดาวน์ ของการลงทุนในหุ้นวัฏจักร

some_text



for everyone



The Ups And Downs Of Investing In Cyclical Stocks
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังขับรถสปอร์ต ชั่วขณะหนึ่งคุณอาจจะกำลังแล่นไปบนยอดเขาสูงของโลก อีกอึดใจคุณกลับมาลงมาอยู่ที่ตีนเขา พร้อมที่จะพุ่งทะยานกลับขึ้นไปอีกครั้ง เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นที่มีธุรกิจเป็นวงรอบก็จะคล้ายคลึงกัน ยกเว้นระยะเวลาที่ใช้วิ่งขึ้นหรือลงเท่านั้นที่ต่างกัน ปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า วงรอบธุรกิจ หรือวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะกินเวลานานเป็นปี

หุ้นวัฏจักรคืออะไร ?
การแยกแยะบริษัทเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องตรงไปตรงมา โดยปกติ หุ้นวัฏจักรมักจะแฝงอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ สายการบิน เฟอร์นิเจอร์ เหล็ก กระดาษ เครื่องจักรกล โรงแรม และภัตตาคาร เป็นต้น ผลกำไรและราคาหุ้นของบริษัทมีแนวโน้มที่เป็นไปตามการขึ้นลงของเศรษฐกิจ นี่แหล่ะจึงเป็นที่มาของคำว่า “วัฏจักร” เมื่อเศรษฐกิจบลูม เช่นช่วงทศวรรษ 90 ยอดขายของรถยนต์, ตั๋วเครื่องบิน และไวน์ชั้นเลิศ มีแนวโน้มเติบโตรุ่งเรือง แต่ในทางกลับกัน เมื่อเศรษฐกิจย่ำแย่ หุ้นวัฏจักรก็มักจะตกต่ำสุดๆ
การขึ้นและลงของเศรษฐกิจเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งก็คือลักษณะของหุ้นวัฏจักร การลงทุนในหุ้นวัฏจักรให้ประสบผลสำเร็จนั้น จะต้องระมัดระวังอย่างมากในการกะจังหวะเวลา มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถทำเงินจำนวนมหาศาลถ้าหากคุณเข้าถือหุ้นวัฏจักรในขณะที่อยู่ในช่วงต่ำสุดของวงรอบ ปริ่มๆ ว่าจะเริ่มขยายตัว แต่ก็เช่นกัน นักลงทุนอาจจะเสียเงินจำนวนมากถ้าหากเข้าซื้อหุ้นในช่วงจังหวะที่ผิดพลาด

เปรียบเทียบหุ้นวัฏจักรกับหุ้นเติบโต (Cyclical vs Growth Stocks)
ในช่วงเศรษฐกิจดี บริษัททั้งหมดจะมีผลกำไรงดงาม แต่กับหุ้นเติบโตแล้วแม้ว่าจะอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจแย่สุดๆ ก็ยังคงสามารถบริหารจัดการสร้างผลกำไรปีแล้วปีเล่า ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ การเติบโตของหุ้นเหล่านี้อาจจะชะลอตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้
สำหรับหุ้นวัฏจักรแล้ว กลับตรงกันข้าม มีการตอบสนองอย่างผันผวนต่อสภาพเศรษฐกิจมากกว่าหุ้นเติบโต ในช่วงแย่ๆ อาจจะขาดทุนมหาศาลแทบจะประคองตัวไม่รอด แต่เมื่อสถานการณ์กลับกลายเป็นดีขึ้น จะมีการสวิงอย่างรุนแรงจากขาดทุนเป็นกำไร มีผลประกอบการเหนือความคาดหมาย บางครั้งยังทิ้งห่างหุ้นโตเร็วแบบไม่เห็นฝุ่น

การลงทุนในหุ้นวัฏจักร
อ้าว! แล้วเมื่อไหร่ที่ควรจะซื้อหุ้นวัฏจักร การคาดคะเนช่วงขาขึ้นเป็นเรื่องยากมากๆ โดยเฉพาะ หุ้นวัฏจักรหลายตัวมักจะเริ่มทำผลงานดีล่วงหน้าหลายเดือนก่อนที่เศรษฐกิจจะหลุดพ้นจากช่วงตกต่ำ การเข้าซื้อหุ้นวัฏจักรต้องอาศัยการค้นคว้าและความกล้า ยิ่งกว่านั้น นักลงทุนต้องมีจังหวะการลงทุนที่เพอร์เฟคต์ถูกต้อง
กูรูด้านการลงทุน จิม สเลเตอร์ ได้เสนอผลงานที่ช่วยนักลงทุนได้มาก เขาศึกษาถึงอุตสาหกรรมวัฏจักรมีผลกับตัวแปรที่เป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นระยะเวลานานถึง 15 ปี จากข้อมูลได้แสดงให้เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยที่ตกลง เป็นปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความรุ่งเรืองของหุ้นวัฏจักร เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำมักจะเป็นไปเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ หุ้นวัฏจักรจึงมักจะมีผลกำไรดีเมื่อดอกเบี้ยลดลง ในขณะที่เมื่อดอกเบี้ยเริ่มเปลี่ยนเป็นขาขึ้น ราคาหุ้นวัฏจักรก็มักจะย่ำแย่ สเลเตอร์ได้เตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังในช่วงปีแรกที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลง ดูจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะแก่การซื้อ เขาแนะนำว่าเวลาที่ดีที่สุดของการซื้อก็คือ ปีสุดท้ายของการลดอัตราดอกเบี้ย ก่อนหน้าที่ดอกเบี้ยจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งนี่ก็คือ ช่วงเวลาที่หุ้นวัฏจักรสามารถเอาชนะหุ้นเติบโตได้
ก่อนที่จะเลือกหุ้นวัฏจักร เป็นการดีที่จะพิจารณาเลือกอุตสาหกรรม ที่มีทีท่าว่ากำลังจะเด้ง ลำดับต่อมา เมื่อเลือกได้อุตสาหกรรมแล้ว ให้เลือกบริษัทที่ดูดีน่าสนใจ ซึ่งตามปกติ บริษัทใหญ่ที่สุดก็มักจะปลอดภัยที่สุด บริษัทเล็กๆ มักจะมีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีหลายครั้งที่บริษัทเล็กๆ เหล่านี้สามารถให้ผลตอบแทนได้อย่างงดงาม

นักลงทุนจำนวนมากจะมองหาบริษัทที่มีค่า P/E ต่ำๆ แต่สำหรับการลงทุนในหุ้นวัฏจักรแล้ว วิธีนี้อาจจะใช้ไม่ได้ผล ผลกำไรของหุ้นวัฏจักรมีความผันผวนมากเกินกว่าจะทำให้ตัวเลข P/E สื่อความได้ตามจริง นอกจากนั้น หุ้นวัฏจักรที่มีค่า P/E ต่ำๆ อาจจะให้ผลการลงทุนที่อันตราย แต่ด้วยค่า P/E สูงยิ่งเน้นให้เห็นถึงจุดต่ำสุดของวงรอบธุรกิจ ในขณะที่ค่า P/E ต่ำ ปกติจะเป็นสัญญาณถึงจุดสิ้นสุดของขาขึ้น
สำหรับการลงทุนในหุ้นวัฏจักร ค่า P/B เป็นค่าที่ควรให้สนใจมากกว่าค่า P/E ราคาที่ลดลงเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นทางบัญชีเป็นการแจ้งสัญญาณฟื้นตัวในอนาคต แต่เมื่อฟื้นตัวเรียบร้อยแล้วหุ้นเหล่านี้จะมีค่ามากกว่าบุ๊คแวลูหลายเท่าตัว ตัวอย่าง ที่จุดสูงสุดของวงรอบธุรกิจ อุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์มีการซื้อขายที่ราคาสูงกว่าบุ๊คแวลู 3-4 เท่า

จังหวะเวลาการลงทุนที่ถูกต้องนั้นแตกต่างกันไปตามประเภทของอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ปิโตรเคมี, ซีเมนต์, เยื่อกระดาษ และกระดาษ รวมทั้งธุรกิจอื่นที่คล้ายคลึงกัน มักจะเคลื่อนไหวตัวสูงขึ้นได้ก่อนใครเพื่อน เมื่อการฟื้นตัวถึงจุดเสถียร หุ้นวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น เซมิคอนดัคเตอร์) ก็จะตามมา ส่วนตัวที่มาช้าที่สุดก่อนจะสิ้นสุดวงรอบก็คือ บรรดาสินค้าอุปโภคบริโภคเช่น เสื้อผ้า ห้างสรรพสินค้า รถยนต์ และสายการบิน
การซื้อหุ้นของคนใน มักจะส่งสัญญาณอย่างแรงว่าถึงเวลาซื้อแล้ว ถ้าบริษัทอยู่ที่จุดต่ำสุดของวงรอบธุรกิจ ผู้บริหารจะแสดงความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของธุรกิจโดยการเข้าซื้อหุ้น

ท้ายที่สุด จับตาดูงบการเงินของบริษัท การมีกระแสเงินสดจำนวนมากเป็นสิ่งสำคัญมากโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนซึ่งซื้อหุ้นฟื้นตัวที่จุดต่ำสุดในขณะที่สภาพเศรษฐกิจยังคงแย่อยู่ การที่บริษัทมีเงินสดจำนวนมากจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเพื่อยืนยันว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นวิธีการที่สุดเลิศ

ความสรุป
อย่าเชื่อมั่นว่าหุ้นวัฏจักรจะให้ผลกำไรเป็นระยะเวลายาวนาน ถ้าภาพเศรษฐกิจเริ่มหม่นหมอง นักลงทุนควรจะลดโหลดหุ้นวัฏจักรออกซะก่อนที่หุ้นเหล่านี้จะสะดุด และกลับมาจบลงที่จุดเริ่มต้น นักลงทุนที่ติดอยู่กับหุ้นวัฏจักรในช่วงเศรษฐกิจซบเซา อาจจะต้องรอนานถึง 5 ปี, 10 ปี หรือ 15 ปี ก่อนที่หุ้นเหล่านี้จะหวนกลับมาที่ราคาเดิมอีกครั้ง วงรอบธุรกิจทำให้การซื้อหุ้นแล้วถือครอง (buy and hold) เป็นการลงทุนที่สุดจะเลวร้าย

ที่มา WindReturn


แถมอีก link นี้เป็น วัฐจักรหุ้นปั่น ที่หลายๆคนชอบ อิอิ

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีการลงทุนของผม

chinese new year Graphics



ลงทุนในหุ้นช่วงนี้เหนื่อยจริงๆครับ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง แต่ก็ดีครับจะได้มีประสบการณ์หลายๆแบบ เพราะผมพึ่งจะได้ลงทุนได้ไม่นาน ปีแรกๆที่ได้เริ่มลงทุนคงไม่ได้มีอะไรมากกว่าการรักษาเงินต้นของเราให้เหลือค่ามากที่สุด โชคดีของผมที่ยังพอมีกำไรบ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมดันไปรับ warrant ที่เขากำลังทิ้งอยู่ และมันก็ทำราคา New Low แล้ว New Low อีก คือประมาณถูกแล้ว ยังมีถูกกว่าอีก เสียหายหลายเปอร์เซ็นต์เลย แทบจะเอากำไร ที่เคยทำรอบอื่นๆมาทิ้งเกือบหมด ดีที่ผม cut loss ทัน ไม่งั้นเจ็บหนักเลย รอบหลังๆ ลงทุนระวังตัวมากขึ้น ดูนิสัยของหุ้นตัวที่เราจะลงทุนย้อนหลังหลายๆปี เลยทำให้พอจับจุดหุ้นตัวนั้นได้บ้าง ทำให้ช่วงหลังๆ ผมไม่ค่อยขาดทุนเท่าไหร่ แต่มักจะขายหมูแทน แต่ก็ไม่เป็นไร เน้นกำไรไว้ก่อน ผมไม่อยากโลภมาก เมื่อก่อนนี้ต้องให้ได้ 100% พอถือไปเรื่อยๆ มันจบรอบของมันก่อน ทำให้ไม่ได้กำไรถึง 100% แถมยังลงมากินกำไรที่ผมได้ทำไว้อีก เดี๋ยวนี้ผมขอแค่ 50% จากราคาที่มันเริ่มวิ่งก็พอใจแล้วครับ เมื่อก่อนจะลงทุนชอบแนวสวนตลาด แต่นิสัยของผมเป็นคนใจร้อน พอเห็นราคามันตกผมก็รีบขายทันที ซึ่งมันไม่ดีเลย หลังๆเมื่อค้นพบจุดอ่อนของตัวเองก็เปลี่ยนแนวเป็นลงทุนตามแนวโน้มตลาดดีกว่า อย่างเช่นช่วงนี้จะถือหุ้นน้อยหน่อย เพราะเราไม่รู้ว่าตลาดหุ้นมีแนวโน้มไปในทิศทางไหนกันแน่


ในส่วนหุ้นที่ผมจะเลือกลงทุน ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ไม่เป็นที่นิยม เช่น หุ้นก้นบุหรี่ หุ้นเทิร์นอะราวด์ หุ้นวัฎจักร และหุ้นที่มี story ใหม่ๆ ที่นักลงทุนท่านอื่นยังไม่สนใจ หรือยังไม่รับทราบมากนัก เลือกซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าพื้นฐานที่มันควรจะเป็น เน้นที่ upside สูง downside ต่ำ เพื่อป้องกันการวิเคราะห์ผิดพลาดอีกชั้นหนึ่ง และอีกประเด็น ผมก็ดูต้นทุนที่เราซื้อ ว่าถูกหรือแพงกว่าชาวบ้านเขามากน้อยแค่ไหนด้วย เพื่อที่เราจะได้กำหนดวิธีการเล่นได้ว่าจะเลือกถือต่อหรือจะขายทำกำไรเลย ที่จริงแล้วไม่ต้องเน้นมากก็ได้เรื่องต้นทุนที่เราซื้อ เพราะมันจะเป็นกับดักให้เราพลาดโอกาสการทำกำไรได้ ดูประกอบเฉยๆก็พอ และทุกครั้งที่วิกฤตของหุ้นที่ผมซื้อเก็บไว้ได้จบลงไป ผมก็จะเริ่มหาราคาเป้าหมายที่ผมจะเริ่มปล่อยหุ้นออกไป แต่ถ้าผมวิเคราะห์ผิด สัก 10% ผมก็ stop loss ทันที


วิธีการลงทุนของผมในอนาคตอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ผมได้รับ ผมเลยขอเขียนเก็บบันทึกวิธีการลงทุนของผมไว้ก่อน เพื่อจะได้ดูการพัฒนาหรือปรับปรุงข้อผิดพลาดของตัวเองอีกทีหนึ่ง การลงทุนของผม ถ้าเห็นว่าดีก็เอาไปดัดแปลงได้ครับ แต่ถ้าเรื่องไหนไม่ดีก็ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างนะครับ เพราะประสบการณ์ของผมยังน้อยนัก อาจเกิดความผิดพลาดได้ ถ้านักลงทุนท่านใดได้หลงมาอ่าน ก็ขอให้แนะนำวิธีที่ถูกต้องให้แก่ผมด้วยครับ คำแนะนำของท่านในวันนี้ อาจจะทำให้ผมบินไปบนโลกกว้างได้อย่างถูกต้องและมั่นคง สุดท้ายขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้แนะนำแก่ผมและหลงเข้ามาอ่านนะครับ อิอิ

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

ก้าวต่อไป…

chinese new year Graphics



ผมศึกษาที่มหาลัยเชียงใหม่ ตอนนี้ก็ถือว่าผมเกือบจะเรียนจบแล้ว แม้จะมีติดวิชา PROJECT อีก 1 วิชาก็ตาม ผมก็ทำ PROJECT ช่วง summer นี้เอง แต่มันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ถ้าทำการทดลองแล้วเก็บข้อมูลเสร็จ ก็ขออาจารย์เข้าสอบได้ ก็คิดว่าน่าจะผ่าน แล้วเรียนจบตามเพื่อนไปได้

ก้าวต่อไปในชีวิตของผมก็คงจะต้องเริ่มหางานก่อนเป็นอันดับแรก ถือว่าโชคดีที่ช่วงเวลานี้ที่เศรษฐกิจไม่ตกสะเก็ด เพื่อนผมหลายคนหางานได้สบายๆ บางคนเลือกงานหน่อยก็เลยยังไม่ได้ หรือบางคนก็เลือกเรียนต่อ ก็ว่ากันไป

ที่จริงผมยังไม่อยากจบเลย (แต่ก็สงสารพ่อ-แม่ 555+) จะว่าไปแค่ตอนฝึกงานผมก็รับรู้แล้วว่าอาชีพลูกจ้างนั้นมันไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่ แต่จะทำอย่างไรได้ ในยุคปัจจุบันนี้ ถ้าเราไม่ทำงานก็คงไม่มีเงิน เราก็จะอยู่บนโลกนี้อย่างลำบาก หรือถ้าอยู่ได้ก็คงต้องเกาะพ่อ-แม่ ต่อไป มันคงเป็นอะไรที่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่

ในเมื่อช่วงนี้มันว่างๆ ผมเลยต้องรีบหาความรู้เข้าสมองให้ได้เยอะๆหน่อย ก่อนที่ชีวิตของผมจะมัวแต่เอาเวลาไปแลกกับเงิน ผมเลยหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาอ่านเยอะหน่อย และมันก็มีหลายแนวทางเหลือเกิน ผมคงต้องทำการปรับใช้และหาอะไรที่เหมาะสมกับผมมากที่สุด แนวการลงทุนที่ผมชอบ เช่น แบบ ปีเตอร์ ลินซ์ , จอห์น เนฟฟ์ และแนวทางนักลงทุนดันโด หุ้นที่ผมถือจึงมีแค่ตัวเดียว แต่ราคามันก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลย แต่ผมก็จะถือมัน เพราะตัวธุรกิจยังดีอยู่ ก็อยากจะลองดูว่ามันจะเป็นอย่างไร ถ้าเราถือมันนานๆ ในแนวโน้มที่ผมคิดเอาเองนะว่ามันดี จากการที่ผมได้ทำการศึกษาจากความรู้ที่ผมมีในปัจจุบันอันน้อยนิดของผม

จะว่าไปแล้วตลาดหุ้นช่วงนี้น่าเวียนเหลือเกิน เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง แสดงให้เห็นถึงความโลภและความกลัวของคน เวลาว่างๆผมมักจะดูทิศทางของ set ในแต่ละวัน ว่ามันขึ้นหรือลงอย่างไร คือผมก็อยากจะวิเคราะห์ว่าคนส่วนใหญ่ในตลาดคิดอะไรอยู่ในช่วงนี้ มันก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง ในส่วนของราคาหุ้นที่ผมถือ ผมก็เห็นว่ามันเดี๋ยวก็เขียวเดี๋ยวก็แดง อยู่อย่างนี้ แต่อย่างไรราคาก็ยังไม่ถึงราคาเป้าหมายที่ผมตั้งไว้ ผมรออยู่นิ่งๆดีกว่า

มาดูโลกเราช่วงนี้กันบ้างวุ่นวายเหลือเกิน ดูอย่างที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงทางการเมืองของประเทศแถบตะวันออกกลาง แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น ไหนจะเรื่องโรงไฟฟ้านิวเครียส์ที่ยังแก้ปัญหาไม่เสร็จอีก แผ่นดินไหวที่ประเทศพม่า ที่ผมเองยังรู้สึกได้เลย เพราะผมอยู่หอพักชั้น 5 มันสั่นจนผมมึนหัวเลย ยังมีน้ำท่วมที่ภาคใต้ และอากาศช่วงนี้ก็เหมือนกันอย่างกับนัดกันมาเลยทั้ง 3 ฤดู ทำเอาผมเป็นไข้ไปหลายวันเลย สุดท้ายผมต้องเก็บเงินไว้บ้าง เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมาจะได้รับมือได้ทัน และอาจจะเอาเงินก้อนนั้นเป็นทุนเพิ่มเติมนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

การลงทุนของผมในปีที่ผ่านมา

chinese new year Graphics



ผ่านไปอีก 1 ปี สำหรับการลงทุนของผมนั้นเรียกว่าได้เสียค่าครูไปเล็กน้อย ประมาณ 5% ของเงินทั้งหมดของผม อาจจะเป็นเพราะผมลงทุนในหุ้นที่ไม่มีนักลงทุนสนใจมากนัก เพราะในอดีตมันเป็นหุ้นที่นิมีสัยที่ไม่ดีมาก่อน แถมเจ้ามือยังไม่ยอมให้มันวิ่งขึ้นไปอีก แม้ว่ามันจะมีผลกำไรที่ดีขึ้น (แล้วยังไงต่อ ผมต้องอดทนถือใช้ไหมครับหรือว่าผมคาดการณ์ผิดกันแน่นะ 555…ต้องลองดูกันต่อไป…) ที่ผมพูดมานั้นคือหุ้นที่ผมให้น้ำหนักในการลงทุนมากที่สุด หุ้นตัวอื่นๆผมก็เล่นเก็งกำไรธรรมดา มีได้มีเสีย เหมือนเกมส์พนันซะมากกว่า แต่จะเสียมากกว่าได้ ก็อาจจะเป็นเพราะผมไม่มีเวลา ต้องเรียนหนังสือ แถมเรื่องเทคนิคอลที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเล่นสั้นนั้นผมก็ไม่มีความรู้เอาซะเลย ทำให้บางครั้งผมขายหมูบ้างก็มี คือขายเมื่อวาน อีกวันขึ้นเอาขึ้นเอา คนเล่นเซ็งเลย ไอ้อาการแบบนี้ผมว่าทุกคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นใหม่ๆ ก็คงจะเคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้มันช่างน่าเจ็บใจอย่างไรบอกไม่ถูก แล้วยิ่งเห็นมันขึ้นเอาขึ้นอีก ผมก็อยากจะตามนะ แต่พอคิดดูแล้วไม่ตามดีกว่ามันแพงเกินกว่าที่ผมเคยซื้อครั้งแรกเสียอีก พอผ่านไปอีก 2 เดือน หุ้นตัวเดิมกันนี้มันวิ่งเป็นจรวดเลยครับ คือมันไม่เคยกลับมาในราคาเดิมที่ผมเคยซื้ออีกเลย (คือมันวิ่งไปมากกว่า 1 เท่าตัว ที่ผมเคยซื้อครั้งแรกซะอีก เจ็บใจจริงๆ ….เศร้าสุดๆ…อารมณ์แมงเม่าชัดๆ…) ไม่เป็นไรช่างมันโอกาสของผมยังไม่หมด ก็เงินเก็บของผมยังเหลืออยู่นี้ครับ ถือเป็นช่วงทดลองงานมันมีโอกาสเสียมากกว่าได้ในเมื่อมันใหม่สำหรับการเริ่มต้นการลงทุนของผม

ผมพึ่งเข้าตลาดหุ้นมาประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมานี้เอง เนื่องจากผมมีเป้าหมายในการปลดล็อกตัวเองจากเรื่องเงินๆทองๆ ก็คืออิสระทางด้านการเงินนั้นเองครับ ที่จริงแล้วผมคิดว่าการลงทุนมันไม่เห็นจะยากเลย แค่เราซื้อตอนมันลง แล้วไปขายตอนมันขึ้นก็กำไรแล้ว แต่ที่ทำให้ผมตัดสินใจผิดพลาดหลายๆครั้งเกิดจากอารมณ์มันพาไปนี้เอง ก็ผมมันเด็กน้อยจริงๆ นั่งเฝ้าหน้าจอคอมพิวเตอร์ดูมันขึ้นลงอยู่นั้นแหละ (…เสียเวลาจริงๆ…) ผมทนไม่ไหวมันลงมาหน่อยดันคันมืออยากลองวิชาเลยขายมันซะเลย แล้วไงครับก็สบายใจดิครั้ง cut loss เป็นครั้งแรกในชีวิต อิอิ ไม่ทันไรผ่านไปแปปเดียวมันวิ่งเลยราคาที่ผมเคยซื้อซะงั้น (…มันจริงๆเลย… เรานี้มันโง้ชัดๆ…) ผมพึ่งประจักษ์ว่าการลงทุนมันเล่นกับอารมณ์ของตัวเอง ทั้งๆก็รู้ว่าแนวโน้มมันดี แต่ก็ดันไปแพ้อารมณ์ตัวเองซะงั้นไป ต่อไปวิธีแก้ของผมคือผมจะซื้อแล้วถือยาว แล้วค่อยมาเช็คอาทิตย์ละครั้งหรือตอนเย็นหลังจากตลาดปิดดูว่ามันมีอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงไปไหม

ผมหวังว่าการลงทุนของผมในปี 2554 จะดีขึ้นกว่าเดิม และหวังว่าทุกท่านก็ดีขึ้นเช่นกัน ผมเริ่มรู้แล้วว่าตลาดหุ้นนั้นคืออะไร ผมคงจะไม่กลับไปผิดพลาดซ้ำสองอีก โชคดีทุกท่านนะครับ

Link-Seed

  • Link-Seed - ผมได้รวบรวมลิงค์ "การเงิน-การลงทุน" ที่ผมสนใจมาแปะเอาไว้ในบล็อก Link-Seed เพื่อเป็นเครื่องมือในการหาข้อมูลข่าวสาร และนำมาพิจารณาการลงทุนอีกทีหนึ่ง เพื่อนๆ ...
Custom Search
 
Financeseed Copyright © 2009 Blogger Template Designed by Bie Blogger Template