วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"คัมภีร์" การลงทุน

chinese new year Graphics



วันนี้ขอเขียนเรื่องการลงทุนหน่อยแล้วกันครับ เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว และทุกคนไม่ว่าอยู่ในวัยใด ก็ควรทำความเข้าใจกับเรื่องนี้กันสักนิดหน่อย หลายๆ คน มักจะคิดว่าเรื่องการลงทุนเป็นเรื่องไกลตัว และคิดว่าไว้คอยให้มีเงินก่อนค่อยคิดเรื่องการลงทุนแล้วกัน แต่ผมว่าคนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน น่าจะเริ่มคิดได้แล้วว่า จะดำรงชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการได้อย่างไร ถ้ามีครอบครัวจะหาเลี้ยงครอบครัวอย่างไร และถ้าถึงวัยเกษียณอายุ ไม่ต้องทำงาน (และไม่มีรายได้) แล้ว จะทำอย่างไรให้สามารถดำเนินชีวิตแบบสบายๆ โดยไม่เป็นภาระกับคนอื่นได้อย่างไร

จริงอยู่ครับ ว่าเงินไม่ได้ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต และเราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเงิน แต่ก็ต้องยอมรับละครับ ว่าทุกวันนี้เงินเป็นสื่อกลางในการได้มาซึ่งสิ่งที่ชีวิตต้องการ เพราะฉะนั้นผมว่าการใช้เงินอย่างฉลาด พอเหมาะ พอควรกับฐานะ จะนำไปสู่ความสุขได้ครับ

ผมมีหลักง่ายๆ ในการลงทุนห้าข้อ มาให้พิจารณากันครับ หวังว่าอ่านแล้วคงเป็นประโยชน์และนำไปประยุกต์ใช้กันได้นะครับ

1.รู้จักออม

สิ่งแรกก่อนที่จะลงทุนคือต้องมีเงินจะไปลงทุนซะก่อน เงินออมก็คือเงินรายได้ที่เราไม่ได้ใช้ การรู้จักออม ก็คือการรู้จักหารายได้ และการรู้จักใช้ ข้อนี้ผมคงไม่ได้ต้องพูดมากมั้งครับ เพราะผมเชื่อว่าทุกคนคงรู้เกี่ยวกับโอกาสในการหารายได้ และรายจ่ายที่จำเป็นของตัวเองในปัจจุบันเป็นอย่างดี แต่สิ่งที่อยากให้คิดถึงคือ การตัดสินใจใช้จ่ายในปัจจุบัน ควรคำนึงถึงรายได้และรายจ่ายในอนาคตไว้ด้วย เช่นว่า คนที่มีรายได้ในปัจจุบันมาก ก็ไม่ควรจะใช้ให้หมดในปัจจุบัน เพราะในอนาคตเราอาจจะมีรายจ่ายที่มากกว่านี้ และรายได้ไม่ได้สูงเท่าปัจจุบัน

พูดแบบนี้คนที่มีรายได้ปัจจุบันน้อย และคิดว่าวันหลังคงมีรายได้มากกว่านี้แน่ๆ ก็อาจจะเห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาลในการกู้เงินโดยใช้รายได้ในอนาคตมาเป็นหลักประกัน เอาเงินมาใช้จ่ายก่อน แล้วค่อยจ่ายคืนทีหลัง ซึ่งผมว่าก็มีเหตุผลดี แต่อย่าลืมนะครับว่าอนาคตมีแต่ความไม่แน่นอน ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น รายได้ที่เราคิดว่าจะมาแน่ๆ อาจจะไม่มาก็ได้ เพราะฉะนั้นใช้แต่ที่จำเป็นและอดออมไว้ก่อนเป็นดีครับ

2.รู้จักทางเลือก

พอเรามีเงินออมแล้ว ต่อมาคือเราต้องรู้จักศึกษาหาทางเลือกในการเก็บเงินออมของเรา (เพราะเรามีทางเลือก มากกว่าฝากธนาคาร!) และสิ่งที่สำคัญคือเราต้องรู้จักศึกษาทางเลือกเหล่านั้นให้ดีๆ แต่ละทางเลือกในการลงทุนมีคุณสมบัติด้าน ผลตอบแทน สภาพคล่อง ลักษณะของกระแสเงินสด ปัจจัยเสี่ยง และระดับความเสี่ยงต่างๆ กันไป ตัวอย่างเช่น การฝากธนาคาร (โดยทั่วไป) มีระดับความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง แต่ก็มีผลตอบแทนต่ำ การเล่นหุ้นมีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูงกว่า มีสภาพคล่องสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงด้วย เช่นกัน

ผมว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับพลังมหัศจรรย์ของผลตอบแทนทบต้นมามากแล้วใช่ไหมครับ ถ้าเราสามารถหาทางเลือกในการลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนโดยเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี เงินต้นของเราจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายใน 15 ปี แต่ถ้าเราสามารถหาทางให้เงินลงทุนของเราทำงานหนักขึ้น และให้ผลตอบแทนแก่เราโดยเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี เงินของเราจะเพิ่มเป็นสองเท่าภายใน 9 ปีเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นการเลือกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ช่วยร่นระยะเวลาถึงเป้าหมายทางการเงินของเราได้อย่างเห็นได้ชัด แต่อย่าลืมนะครับว่าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย

ทุกวันนี้โลกแห่งการเงินพัฒนาไปมาก และเรามีทางเลือกมากมายในการลงทุนที่เหมาะสมกับความต้องการของเรา นอกจากนี้ยังมีกองทุนต่างๆ เปิดโอกาสให้คนที่มีเงินลงทุนน้อยสามารถเข้าถึงการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองได้มากขึ้น ในต้นทุนที่ต่ำ นอกจากนี้ เดี๋ยวนี้รัฐบาลยังส่งเสริมให้คนลงทุนโดยให้แรงจูงใจทางภาษีมากมาย ก็ศึกษาและทำความเข้าใจกับทางเลือกเหล่านี้ไว้ก็ดีครับ ไม่เสียหลาย

นอกจากการลงทุนของเราเองแล้ว อย่าลืมนะครับว่า บางคนอาจจะมีสินทรัพย์อยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนประกันสังคม ที่เราจ่ายเงินสมทบอยู่ทุกเดือน แต่ก็อย่าไปหวังอะไรมากนักเลยครับ เพราะพอถึงเวลาที่เราเกษียณ และต้องการเงินตรงนี้ขึ้นมาจริงๆ กองทุนเหล่านี้อาจจะไม่อยู่แล้ว หรืออาจจะไม่ได้จ่ายผลประโยชน์อย่างที่กำลังโฆษณาอยู่ก็ได้ กองทุนประกันสังคมในอเมริกา และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทบางแห่งเป็นตัวอย่างที่ดีครับ (กองทุนประกันสังคมของอเมริกา ถึงกับเขียนเตือนผู้คนไว้บนใบสรุปผลประโยชน์ประจำปีว่า ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในเชิงโครงสร้างของกองทุน อีก 35 ปีกองทุน จะเหลือเงินจ่ายเงินผลประโยชน์แค่ร้อยละ 74 ของผลประโยชน์ที่จ่ายให้อยู่ในปัจจุบัน!) ก็คิดถึงความเสี่ยงตรงนี้ไว้นิดนึงนะครับ

3.รู้จักความเสี่ยง

เมื่อรู้จักทางเลือกในการลงทุนแล้ว ก็ต้องรู้จักความเสี่ยงที่มากับการลงทุนด้วย ความเสี่ยงของการลงทุน ก็คือความไม่แน่นอนทั้งหลายที่ทำให้มูลค่าของการลงทุนของเราเปลี่ยนไปจากผลตอบแทนที่เราคาดว่าจะได้ ถ้าพูดกันจริงๆ แล้ว ไม่มีการลงทุนไหนที่ไม่มีความเสี่ยงเลย (แม้แต่การเอาเงินฝังตุ่มไว้ยังมีความเสี่ยงที่เกิดจากเงินเฟ้อ ที่ทำให้ค่าของเงินในตุ่มเราลดลงเลยครับ) เราจึงควรทำความเข้าใจถึงปัจจัยความเสี่ยงของการลงทุน ว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้มูลค่าและผลตอบแทนจากการลงทุนของเราเปลี่ยนไปได้บ้าง ปัจจัยเสี่ยงทั่วๆ ไปที่เราควรคิดถึง ก็รวมไปถึง ความเสี่ยงที่เกิดจากอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงที่เกิดจากราคา (เช่น ราคาน้ำมัน ราคาทองคำ ราคาที่ดิน ฯลฯ) ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจมหภาค (เช่น อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ) ความเสี่ยงทางเครดิต และความเสี่ยงทางเทคนิค (เช่น สั่งขายหุ้นแต่โบรกเกอร์ดันไปซื้อเพิ่ม)

เราอาจจะคิดง่ายๆ ว่า ผลตอบแทนที่เราได้มากขึ้นจากการลงทุนในสินทรัพย์ชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็คือค่าตอบแทนในการเข้าไปถือปัจจัยเสี่ยงของสินทรัพย์ชนิดนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนเราจึงควรพิจารณาว่า สินทรัพย์ที่เรากำลังตัดสินใจเข้าไปลงทุนนั้น มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง มีระดับความเสี่ยงขนาดไหน และผลตอบแทนที่เราได้รับว่าคุ้มค่ากันหรือไม่ และเรายอมรับความเสี่ยงเหล่านี้ได้หรือไม่

4.รู้จักบริหารความเสี่ยง

เมื่อเรายอมรับว่าไม่มีการลงทุนไหนที่ไม่มีความเสี่ยง เราก็ต้องบริหารความเสี่ยงในการลงทุนของเราให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และยอมรับได้ วิธีการลดความเสี่ยงที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่ง ก็คือการกระจายความเสี่ยง เพราะความมหัศจรรย์ของคณิต ศาสตร์ที่บอกว่า ถ้าผลตอบแทนของสินทรัพย์สองชนิดไม่เคลื่อนไหวขึ้นลงไปพร้อมกันตลอดเวลาแล้วละก็ (ภายใต้เงื่อนไขบางประการ) เราสามารถสร้างการลงทุนที่ดีกว่า (ในแง่ของการตัดสินใจในภาวะได้อย่างเสียอย่าง ระหว่างผลตอบแทน และความเสี่ยง) โดยการถือสินทรัพย์สองชนิดไว้พร้อมๆ กัน ฝรั่งเขาถึงบอกว่าอย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียว เพราะถ้าตะกร้าหล่นมาเมื่อไรละก็ เราจะไม่มีไข่กินเอานะสิครับ

แต่การลดความเสี่ยงโดยการกระจายความเสี่ยง ก็ลดได้แต่ความเสี่ยง "เฉพาะ" ของสินทรัพย์เท่านั้น การลงทุนทุกชนิดจะมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถลดลงได้โดยการกระจายความเสี่ยงเสมอ เราจึงต้องรู้จักปัจจัยความเสี่ยงที่การลงทุนของ เรามี และบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เรายอมรับได้

5.รู้จักตัวเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุน คือต้องรู้จักตัวเอง รู้จักเป้าหมาย และระดับการยอมรับความเสี่ยงของตัวเอง

อย่างที่บอกครับว่า เราควรบริหารเงินลงทุนให้มีระดับผลตอบแทนและความเสี่ยงที่เหมาะสม และระดับที่เหมาะสมของนักลงทุนแต่ละคนก็ต่างกันไปครับ เช่นว่า นักลงทุนวัยละอ่อน อาจจะสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากกว่า นักลงทุนวัยดึก เพราะถึงขาดทุนไปก็ยังพอมีเวลาเอาคืนได้อยู่

นอกจากความเสี่ยงแล้ว เราควรรู้จักตัวเองว่ากระแสเงินสดในแต่ระยะช่วงเวลาของชีวิตเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น เมื่อเริ่มทำงานไปสักพัก เราอาจจะมีรายได้มากกว่ารายจ่าย (ที่จำเป็นจริงๆ) เราอาจจะรู้สึกร่ำรวยขึ้นมาผิดปกติ และอยากเอาเงินที่ได้มานั้นไปใช้ แต่เราก็ควรวางแผนการใช้เงิน โดยพิจารณาวงจรของชีวิตของตัวเอง เพราะว่าพออายุเพิ่มขึ้น แม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นตาม แต่รายจ่ายก็อาจจะตามมาติดๆ เช่นกัน ไหนจะหาเงินแต่งงาน เงินค่านมลูก เตรียมแป๊ะเจี๊ยะลูกเข้าเตรียมอนุบาล ฯลฯ ถ้าใครเกิดมาในครอบครัวร่ำรวย พ่อยกหุ้นให้สองสามหมื่นล้าน อาจจะไม่ต้องคำนึงถึงข้อนี้มากนัก แต่ถ้าคนอื่นไม่โชคดีแบบนี้ก็น่าจะพิจารณาตรงนี้สักนิดนะครับ

พอพิจารณาศึกษาปัจจัยเหล่านี้กันได้แล้ว ก็ถึงเวลาเริ่มลงมือตัดสินใจลงทุนกันเสียที ก่อนอื่นก็ต้องเริ่มคิดละครับว่า เรามีเงินอยู่เท่าไร จะแบ่งเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินเท่าไร และพอจะเอาไปลงทุนได้เท่าไร พอได้เงินก้อนที่จะเอาไปลงทุนแล้ว ก็ต้องเอามาแบ่งในแต่ละ "ชั้นของสินทรัพย์" ละครับ ว่าจะเอาเงินไปลงทุนแต่ละกลุ่มอย่างไร เช่น ชั้นของสินทรัพย์ที่คนทั่วๆ ไปลงทุนก็เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หุ้นตัวใหญ่ หุ้นตัวเล็ก หุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว หุ้นในตลาดเกิดใหม่ กองทุนที่ลงทุนในทรัพยากรธรรมชาติและโลหะมีค่า ฯลฯ

อย่าลืมแล้วกันครับ ว่าถ้าเราไม่มีเวลาและความสามารถในการติดตามตลาดการเงินแบบใกล้ชิด โอกาสที่เราจะทำได้ดีกว่า "ค่าเฉลี่ย" ของตลาดในระยะยาวเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย และด้วยพลังของการกระจายความเสี่ยง โดยเฉลี่ยแล้วการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายๆ ตัวในชั้นของสินทรัพย์เดียวกัน (เช่นถือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นหลายๆ ตัว เช่น SET50 Index Fund) จะให้ผลตอบแทนในระยะยาวสูงกว่า และมีความเสี่ยงต่ำกว่าการซื้อสินทรัพย์เป็นตัวๆ (ผมไม่ได้บอกว่าการซื้อกองทุนจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าการเล่นหุ้นเป็นตัวๆ เสมอไปนะครับ ถ้าใครมีเวลา และความสามารถก็อาจจะลงทุนได้ดีกว่าตลาด ก็ได้ครับ)

ถ้าเรายึดหลักแบบนี้ การตัดสินใจการลงทุนของเรา ก็เหลือแค่การกระจายเงินลงทุนของเราลงไปในแต่ละ "ชั้นสินทรัพย์" โดยที่เราไม่ต้องมานั่งนึกว่าจะซื้อหุ้นตัวไหน กี่หุ้นดี ผมว่ามันง่ายกว่ากันเยอะเลยครับ แต่ถ้าใครรู้สึกว่ามันยังยากเกิน จะไปซื้อกองทุนที่เขาออกแบบมาให้แล้ว ก็ไม่ผิดอะไร แต่อย่าลืมศึกษาก่อนลงทุนแล้วกันครับ ว่าเขาเอาเงินเราไปทำอะไรบ้าง

อย่างนี้ต้องจบแบบโฆษณาชวนเชื่อทั่วไปครับ "การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน"

ที่มา คอลัมน์ มองซ้ายมองขวา โดย ณ พัฒน์ ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3786 (2986)

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ของการลงทุน Value Way

chinese new year Graphics


ถ้าเปรียบเทียบการลงทุนเหมือน "การปีนบันได" ที่ต้องเริ่มจากขั้นแรกก่อนที่จะขึ้นไปขั้นต่อๆ ไป เราสามารถแบ่งระดับการลงทุนของแต่ละคนได้ 7 ระดับดังต่อไปนี้

ระดับศูนย์: ไร้ระดับ (Non-Existent)

คนที่อยู่ในขั้นนี้เรียกว่า ไม่มีความรู้เรื่องการเงินเอาเสียเลย ไม่มีทั้งเงินเก็บและเงินลงทุนแต่อย่างใด เรียกว่ามีเงินเท่าไหร่ก็ใช้หมด ถ้าถามพวกเขาว่าพวกเขามีปัญหาอะไร จะได้คำตอบว่าเพราะหาเงินได้น้อยเกินไป คนกลุ่มนี้มักจะบอกว่าถ้าพวกเขาหาเงินได้มากกว่านี้ก็จะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จริงๆ แล้วพวกเขาไม่เข้าใจว่า ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะหาเงินได้ไม่พอ แต่ปัญหาเกิดจากนิสัยการใช้จ่ายเงินเกินตัวของตนเองมากกว่า


ระดับหนึ่ง: ช่างกู้ (Borrower)

ดูๆ ไปแล้ว พวก"ช่างกู้" มักจะมีสถานะทางการเงินแย่กว่าพวก"ไร้ระดับ"เสียอีก คนอยู่ในระดับนี้มักจะใช้เงินที่หาได้ไปซื้อนู้นซื้อนี่จนหมด เรียกว่าใช้เงินเดือนชนเดือน ถ้ามีเงินไม่พอใช้ วิธีแก้ปัญหาของชนกลุ่มนี้ก็คือ "กู้เพิ่ม" ถ้าสมัครเครดิตการ์ดได้อีกหลายๆ ใบเพื่อเอาเงินบัตรใหม่มาหมุนจ่ายหนี้บัตรเดิมได้ ดูจะเป็นวิธีการที่วิเศษสุดๆ รวมทั้งการพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ หรือเงินกู้ยืมจากญาติพี่น้องก็เป็นทางเลือกสำหรับการแก้ปัญหาทางการเงินของคนกลุ่มนี้ ไม่จำเป็นว่า ปัญหาจะเกิดเฉพาะกับผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น คนที่มีรายได้สูงแต่หาเงินได้ไม่พอใช้จ่ายก็อาจจะตกอยู่ในสภาพหนี้ท่วมหัวได้เช่นเดียวกัน
พวก"ช่างกู้"มักจะพบว่าตนเองตกอยู่ในวังวนของหนี้สินเมื่อไม่มีหนทางให้กู้เพิ่มเติมได้อีกแล้ว เมื่อถึงจุดนั้น ส่วนใหญ่จะหมดหวังและจบลงในสภาพฐานะทางการเงินล้มเหลว ถ้าคนกลุ่มนี้ไม่มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง รวมทั้งแก้ไขปรับปรุงนิสัยการใช้จ่ายของตนเองแล้ว โอกาสที่จะ"ล้มละลาย"มีอยู่สูงทีเดียว


ระดับสอง: ช่างเก็บ (Saver)

"ช่างเก็บ" มักจะเก็บออมเงินที่หาได้ในแต่ละเดือนอย่างสม่ำเสมอ เงินที่เก็บได้ก็มักจะฝากเอาไว้ในธนาคารที่มี "ความเสี่ยงต่ำ' ถึงต่ำที่สุด เช่น บัญชีออมทรัพย์ หรือ บัญชีเงินฝากประจำ คนกลุ่มนี้มักจะเก็บเงินเอาไว้เพื่อ "ใช้จ่าย" มากกว่านำไป "ลงทุน" เช่น เก็บเงินเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ หรือ ซื้อเครื่องเสียงชุดใหม่ ฯลฯ
พวกเขาไม่ชอบ"ความเสี่ยง" แม้แต่นิดเดียว วิธีการลงทุนที่เยี่ยมยอดของคนกลุ่มนี้ก็คือ การซื้อประกันแบบสะสมทรัพย์ หรือฝากเงินไว้กับธนาคารที่เขามั่นใจได้ว่าเงินต้นไม่มีวันลดลง ซึ่งในความเป็นจริง พวกเขาไม่เข้าใจว่าผลตอบแทนจากเงินฝากธนาคารที่แท้จริงนั้นติดลบ เพราะอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันสูงกว่าดอกเบี้ยที่ได้รับ ในระยะยาวแล้วเงินออมที่มีอยู่อาจจะไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในอนาคต เมื่อถึงคราวเกษียณ พวกเขาอาจจะต้องพึ่งพาลูกหลาน หรือเงินบำเหน็จบำนาญในการเลี้ยงชีพเป็นหลัก


ระดับสาม: นักลงทุนผู้ล้าหลัง (Passive Investor)

นักลงทุนประเภทนี้ รู้สึกว่าตนเองมีความจำเป็นจะต้องลงทุนบ้าง ส่วนใหญ่มักจะลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือลงทุนในกองทุนรวมอื่นๆ พูดได้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนฉลาด มีการศึกษาดี ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม"คนชั้นกลาง"ของประทศ แต่ถ้าพูดถึงเรื่อง"การลงทุน"แล้ว คนกลุ่มนี้เรียกว่าแทบจะไม่มีความรู้เรื่องการเงินแต่อย่างใดหรือถ้ามีก็มีน้อยมาก

นักลงทุนผู้ล้าหลังประเภทหนึ่งเรียกว่า พวกชอบอยู่ในกระดอง (Gone-into-a-shell Passive Investor) คือ กลุ่มคนที่มักจะคิดอยู่เสมอว่า ตนเองไม่มีวันที่จะเข้าใจเรื่องเงินๆ ทองๆ ได้
คำพูดส่วนใหญ่ของคนในกลุ่มนี้ที่มักจะได้ยินก็คือ...
"ผมหรือดิฉันไม่เก่งเรื่องตัวเลข, มันยุ่งยากเกินไป, บริษัทและผู้จัดการกองทุนดูแลผลประโยชน์ได้ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง, ฉันยุ่งจนไม่มีเวลาคิดเรื่องลงทุน ฯลฯ"
ทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นเพียงคำแก้ตัวเพื่อให้ตัวเองปลอดจากความรับผิดชอบในเรื่องเงินของตนเองซะมากกว่า

นักลงทุนผู้ล้าหลังประเภทสอง คือ พวกที่ชอบคิดว่า 'ไม่มีทางทำได้' (It-Can't-Be-Done Passive Investor) นักลงทุนประเภทนี้เข้าใจว่ามีทางที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากในธนาคาร แต่การที่จะทำอย่างนั้นได้อยู่นอกเหนือความสามารถของตนเองและคนอื่น คนที่จะลงทุนได้ประสบความสำเร็จในความเห็นของคนกลุ่มนี้จะต้องเป็นคนที่มี"พรสวรรค์" หรือไม่ก็เป็นคนที่"โชคดี"ที่รู้ข่าววงใน หรือไม่ก็ต้องเป็น"ผู้เชี่ยวชาญ"ทางการเงินเท่านั้น
พวกเขามักจะอ้างว่า ที่คนอื่นรอบๆ ตัวประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้นเป็นเพราะ"โชค"มากกว่า"ฝีมือ" ส่วนใหญ่มักจะพูดประชดประชันให้คนอื่นหมดกำลังใจ และพยายามให้มาอยู่เป็นพวกเดียวกัน พวกเขากลัวที่จะเห็นคนอื่นได้ดีกว่า เลยพยายามลากคนอื่นๆ รอบตัวไม่ให้เด่นกว่าตนเอง ส่วนใหญ่จะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น รวมทั้งหา"เหตุผล"ที่จะบอกว่าทำไมเราถึงไม่สามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ และมักจะโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาบอกนั้นเป็นความจริง
ถ้าเคยคุยกับคนเหล่านี้มักจะได้ยินว่า "โอ้ย ที่ทำได้นะเป็นเพราะฟลุ้คซะมากกว่า ผมไม่เชื่อหรอกว่าที่คุณบอกน่ะมันจะเป็นจริง ใครถือหุ้นไว้ไม่ยอมขายก็บ้าแล้ว ใครๆ เขาก็ซื้อมาขายไปทั้งนั้นหละ ผมไม่เชื่อหรอกว่าถือหุ้นนานๆ จะได้กำไร สักวันราคาก็กลับมาเท่าเดิม รีบๆ ขายไปเถอะ เดี๋ยว 'ขาดทุน' จะหาว่าไม่บอก"
สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่ามักจะเจอกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่บ่อยๆ ถ้าท่านได้พบได้เจอนักลงทุนประเภทนี้ ขอแนะนำให้อยู่ห่างๆ ไม่ต้องตอบโต้หรือ พยายามให้เขาเข้าใจในสิ่งที่คุณทำ อย่าท้อถอยกับคำสบประมาททั้งหลายที่ได้รับ จงมุ่งมั่นในแนวทางการลงทุนของคุณต่อไป เมื่อไหร่ที่คุณประสบความสำเร็จ เขาจะเข้าใจคุณเอง

นักลงทุนผู้ล้าหลังประเภทสุดท้ายคือ นักลงทุนผู้ตกเป็น 'เหยื่อ' (Victim Passive Investor)
เช่นเดียวกับสองพวกแรก นักลงทุนประเภทนี้เป็นกลุ่มคนที่ฉลาด มีการศึกษา มีหน้าที่การงานดี แต่เมื่อพูดถึงการลงทุนแล้ว นักลงทุนประเภทนี้ไม่มี 'หลักการ' หรือ 'กฎ' ในการลงทุนแต่อย่างไร มักจะชอบซื้อหุ้นตอนราคาสูงเพราะกลัวตกรถไฟ แต่แล้วก็ตกใจขายเมื่อเห็นราคาหุ้นปรับตัวลง
ส่วนใหญ่มากกว่า 90% มักจะขาดทุนในตลาดหุ้น แต่กระนั้นก็ยังไม่เข็ดและพยายามค้นหา"เคล็ดลับ"ในการลงทุนในตลาดหุ้นต่อไป พวกเขามองตลาดหุ้นเหมือน"บ่อนพนัน"ที่ถูกกฎหมาย มีคนได้ก็จะต้องมีคนเสีย รวมทั้งมันน่าตื่นเต้นเร้าใจ มีเรื่องให้ลุ้นได้ทุกวัน
สังเกตดูคนกลุ่มนี้ได้ง่ายๆ ก็คือ ชอบพึ่งพาคนอื่นในการลงทุน มักชอบถามว่า"ตอนนี้ ซื้อหุ้นอะไรดี" หรือ "ตอนนี้ หุ้นตัวไหนน่าเล่น" กลยุทธ์คือ ถ้าถามหลายๆ คนแล้วได้ชื่อหุ้นมาตรงกัน แสดงว่าเป็น"หุ้นที่ดี" ซื้อได้ แต่เมื่อซื้อมาแล้วมักไม่ทราบว่าจะ"ขาย"ตอนไหนดี ส่วนใหญ่จะขายก็เมื่อพบว่าราคาหุ้นลดลงมาต่ำกว่าทุนไปแล้ว
ถ้าสังเกตจะพบว่า วันไหนซื้อหุ้นแล้ว"ขาดทุน"จะเห็นเขาเงียบๆ จ๋อยๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่ได้"กำไร" เขาจะป่าวประกาศให้โลกรู้ว่า วันนี้ได้กำไรเท่านั้นเท่านี้
นักลงทุนประเภทนี้มักไม่ค่อยมี"ความอดทน"เท่าไหร่นัก อะไรที่ได้เงินมาง่ายๆ ก็จะรีบกระโดดเข้าไปทันที เช่น หุ้นจอง หรือ หุ้นเก็งกำไรทั้งหลาย พวกเขาอาจจะซื้อขายในเครื่องมือทางการเงินที่ทันสมัย เช่น Cover-Warrant เช่น SCIB-C1 แต่ถ้าถามว่าวอร์แรนท์ชนิดนี้คืออะไร ต่างกับวอร์แรนท์ธรรมดาอย่างไร พวกเขามักจะไม่ทราบว่ามันคืออะไรต่างกันอย่างไร แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือในตลาดกำลัง"เล่น" ตัวนี้กันอยู่
มีผู้รู้บอกเอาไว้ว่า นักลงทุนประเภทนี้พยายามค้นหา"สูตรสำเร็จ"ในการลงทุนเพื่อที่วันหนึ่งเขาจะลงทุนได้กำไรทุกครั้ง และจะกลายเป็นมหาเศรษฐีในวันข้างหน้า แต่สิ่งที่พวกเขาลืมก็คือ ลืมที่จะ"คิดด้วยตนเอง"


ระดับที่สี่: นักลงทุนอัตโนมัติ (Automatic Investor)

ถ้าใครมาถึงระดับนี้คงมั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า ความสำเร็จในการลงทุนนั้นอยู่แค่เอื้อม และอิสรภาพทางการเงินกำลังรอท่านอยู่
นักลงทุนระดับนี้เข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าการลงทุนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในชีวิตปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเหล่านั้นต่างจากนักลงทุนผู้ล้าหลัง (Passive Investor) ก็คือ นักลงทุนอัตโนมัติมีส่วนร่วมในการตัดสินใจลงทุนของตนเอง และมีแผนการในการลงทุนระยะยาวที่ชัดเจนในการที่จะไปให้ถึงเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้

พวกเขาไม่ค่อยสนใจที่จะ"เก็งกำไร"สักเท่าไหร่นัก ถ้าจะเก็งกำไรก็มักจะใช้เงินเพียง 5-10% ของเงินลงทุนเท่านั้น พร้อมทั้งมีกฎตายตัวที่แน่นอนที่จะ"จำกัด"ความเสี่ยงของการเก็งกำไร

ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการลงทุนที่เน้น"ความเรียบง่าย" เช่น ลงทุนระยะยาวในหุ้นพื้นฐานดี หรือซื้อกองทุนที่มีการบริหารงานที่ดี โดยมีโอกาสในการทำผลตอบแทนได้ 10%+ ต่อปี

พวกเขามักไม่ชอบใช้บัญชีมาร์จินในการซื้อขายหุ้น หรือเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ที่ "มืออาชีพ" ชอบใช้กัน แต่พวกเขาลงทุนด้วยแผนการลงทุนอัตโนมัติ เช่น แบ่งเงินส่วนหนึ่งทุกๆ เดือนเพื่อนำไปซื้อหุ้นหรือกองทุน

ขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะ"เก็บเงิน" ที่เหลือจากการใช้จ่าย เช่น ทำงานได้เงินเดือนประจำ เมื่อเงินเดือนออกก็เริ่มใช้จ่ายไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการกำหนดว่าจะใช้จ่ายรายการไหนเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ เมื่อถึงสิ้นเดือนมักจะพบว่า เงินเดือนที่ได้รับมานั้นหมดลงพอดี ถึงแม้จะตั้งใจไว้ว่าจะเก็บเงิน แต่ก็มักมีค่าใช้จ่าย "ฉุกเฉิน" ในแต่ละเดือนอยู่เสมอๆ สุดท้ายแล้วก็เก็บเงินไม่ได้สักที

สำหรับนักลงทุนระดับนี้จะใช้จ่ายเงินที่เหลือจาก "เงินเก็บ" นั่นคือเมื่อได้รับเงินเดือนจะแบ่งนำไปลงทุนส่วนหนึ่งอย่างสม่ำเสมอทุกๆ เดือน อาจแบ่งเป็นเงินเก็บประมาณ 30-50% ที่เหลือถึงนำไปใช้จ่าย
ระดับขั้นของการลงทุนระดับนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความร่ำรวย พวกเขาเข้าใจว่า อิสรภาพทางการเงินไม่ได้เกิดจาก "โชค" แต่เกิดจากความอดทนและการวางแผนทางการเงินที่ดี

ระดับห้า: นักลงทุนผู้ก้าวหน้า(Active Investor)

ในสองระดับสุดท้ายของบันไดของการลงทุน เป็นระดับที่มีน้อยคนจะไต่มาถึง ซึ่งถ้าถามคนส่วนใหญ่แล้วมักคิดว่าต้องมาถึงสองระดับสุดท้ายแล้วเท่านั้นถึงจะ"รวย" แต่ในความเป็นจริง เพียงแค่มาถึงระดับสี่หรือนักลงทุนอัตโนมัติก็เพียงพอที่ทำให้ท่านมีเงินได้แล้ว

ก่อนที่จะมาถึงระดับห้าได้ นักลงทุนจำเป็นจะต้องผ่านระดับสี่มาก่อนแล้วเท่านั้น มีตัวอย่างมากมายที่หลายคนอยากจะ"รวย" เพียงชั่วข้ามคืน กระโดดมาที่ระดับห้าอย่างรวดเร็ว เพียงเพราะเห็นหลายๆ คนทำเงินได้อย่างมากมายจากตลาดหุ้น จึงอดใจไว้ใม่ได้ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในความร่ำรวยที่เกิดขึ้น สุดท้ายก็ต้อง"ขาดทุน" จนถึงกับบอกตัวเองว่าจะเลิก"เล่นหุ้น"ไปเลยก็มี

นักลงทุนระดับห้าเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า การที่จะมาถึงระดับนี้ได้จำเป็นต้องมี"หลักการ"และ"กฎ"ในการลงทุนที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถึงแม้พวกเขาจะลงทุนในเครื่องมือที่แตกต่างกัน เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรืออัตราแลกเปลี่ยนก็ตาม แต่หลักการและกฎเกณท์ต่างๆ ที่ใช้ ไม่ได้มีความแตกต่างกัน
พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่ และพยายามที่จะทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็สามารถ"จำกัด"ความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างดี ผลตอบแทนจากการลงทุนปีละ 20-100% ถือเป็นเรื่องปกติ สำหรับนักลงทุนระดับนี้

ขณะที่คนส่วนใหญ่"ทำงานเพื่อเงิน" แต่นักลงทุนระดับห้า"ใช้เงินทำงาน"อย่างขะมักเขม้น


ระดับหก: นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ (Capitalist)

ระดับขั้นสุดท้ายของนักลงทุนก็คือ Capitalist หรือนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ นักลงทุนระดับนี้เป็นผู้สร้างความเจริญให้กับสังคมและมนุษยชาติ เป็นผู้สร้างงานให้กับคนมากมาย และยกระดับมาตรฐานการครองชีพของคนในโลกให้ดีขึ้น สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ การที่สิ่งต่างๆ ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาจะคงอยู่ตลอดไปถึงแม้พวกเขาจะจากโลกนี้ไปแล้ว มีน้อยคนที่จะมาถึงระดับขั้นนี้ได้ในโลก

ลองนึกถึงฟอร์ด, ร็อคกี้เฟลเลอร์, หรือแม้กระทั่งบิล เกตต์ ซึ่งเป็นผู้ที่แทบจะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของคนเราทุกคนในโลกนี้ ด้วยรถยนต์ราคาถูก หรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่คนทั่วโลกใช้ในการติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน

ทั้งหมดของบันไดการลงทุนจัดแบ่งโดย จอห์น เบอร์เล่ย์ (John R. Burley) ท่านผู้อ่านท่านใดสนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.johnburley.com

จะเห็นว่าบันไดของการลงทุนมีหลายขั้นแตกต่างกันไป แต่การที่จะไปให้ถึงเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ จำเป็นจะต้องมาถึงอย่างน้อยระดับที่สี่ของการลงทุน (Automatic Investor) ทำให้การศึกษาหาความรู้ทางการลงทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็น ในปัจจุบันอัตราผลตอบแทนจากการฝากเงินไว้กับธนาคารหรือดอกเบี้ยที่แท้จริงมีค่าติดลบ การนำเงินไปฝากไว้ในธนาคารเฉยจึงเปรียบเสมือนการที่เงินมีค่าลดลงไปทุกวัน ดังนั้นการหาช่องทางการลงทุนที่ดีกว่าจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจศึกษาและทดลองปฏิบัติ
ว่าแต่ว่า วันนี้ท่านมาถึงระดับสี่ของการลงทุนหรือยัง?

ที่มา http://www.doohoon.com/smf/index.php?action=printpage;topic=17572.0

ลงทุนในหุ้น เสี่ยงสูงจริงหรือไม่?

chinese new year Graphics

หลายๆครั้งที่ผมชอบเขียนบทความหรือตั้งกระทู้ห้องสินทร ในพันทิพย์ ด้วยการเริ่มต้นตั้งคำถาม ซึ่งมันอาจนำเราไปสู่คำตอบ หรือคำถามอีกหลายๆคำถามตามมาก็ได้ เป็นการเปิดโอกาสมองในมุมอื่น และสำรวจความคิดตัวเองว่า เรามองรอบด้านแล้วหรือยัง รวมทั้งความคิดใหม่ๆ มักจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการตั้งถามกับตัวเองเสมอๆครับ แต่ต้องอย่าลืมนะครับ ทุกคำถามต้องพาเราเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่เฝ้าแต่ย้ำคิดกับคำถามเดิมๆ ที่อาจจะไม่มีคำตอบ หรืออาจยังไม่ถึงเวลาที่เราจำเป็นต้องรู้นั้นก็เป็นได้ หน้าที่ของเราคือสร้างเหตุแห่งการรู้ให้เกิดขึ้นครับ เราไม่สามารถบังคับตัวเองให้รู้คำตอบได้ทันที ถ้าเหตุและปัจจัยยังไม่อำนวย

เกริ่นมาซะยาว ฉบับนี้ ผมจะสร้างเหตุแห่งการเรียนรู้จากมุมมองของนักลงทุนตัวเล็กๆคนหนึ่ง ให้ได้พิจารณากันว่า การลงทุนในหุ้น หรือตราสารทุน มีความเสี่ยงสูงจริงหรือ... ส่วนจะได้คำตอบกลับไปหรือไม่นั้น ผมจะพยายามดูแล้วกันครับ



ตราสารทุน หรือ หุ้น (Equity) คือ ตราสารที่ออกโดยบริษัทเอกชนให้แก่ผู้ถือ ซึ่งจะถูกเรียกว่า ผู้ถือหุ้นหรือ Shareholder ทั้งนี้ ตัวผู้ถือหุ้นจะอยู่ในสถานะ “เจ้าของบริษัท” วิธีการลงทุนในหุ้น สำหรับนักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆ ต้องลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์เท่านั้นครับ สามารถดูเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ที่ http://www.set.or.th โดยตลาดหลักทรัพย์นี้ จะมีบริษัทเอกชนที่นำเข้าไปจดทะเบียนในตลาด (ไม่ใช่ทุกบริษัทที่อยู่ในประเทศไทยนะครับ) วิธีการลงทุน ก็คือ เลือกบริษัทที่เราคิดว่า เป็นบริษัทที่ดี เป็นบริษัทที่น่าสนใจ และน่าจะมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว

การตั้งเป้าไว้แต่แรกด้วยการมองว่า การลงทุนในหุ้น คือ การเข้าไปเป็นเจ้าของร่วมกับบริษัทที่ดี และมีแนวโน้มที่จะเติบโตธุรกิจได้ดีในอนาคต จะทำให้เราไม่หลงทางในการลงทุนในระยะยาว

สาเหตุที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น มองว่า เป็นการลงทุนที่เสี่ยงเกินกว่าตัวเองจะรับได้ หรือได้รับผลขาดทุนโดยที่ไม่ได้เตรียมใจรับไว้ สาเหตุหนึ่งก็มาจาก การเข้าไปลงทุนเพียงเพราะเห็นว่าคนอื่นทำกำไรได้ และอยากทำกำไรบ้าง (โดยไม่เห็นกิเลสของตัวเอง) หรือ คิดว่า การเข้าไปลงทุนในหุ้น ก็คือการวัดดวง ซื้อในราคาที่ถูก รอหุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นมาในราคาที่สูง แล้วจึงขายมันออกไปเพื่อทำกำไร แต่เอาเข้าจริงๆ พอซื้อหุ้นไป น้อยครั้งที่ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นทันที แถมบางครั้งราคายังตกลงไปทันทีที่ซื้อ ก็มีให้เห็นอยู่บ่อย เคราะห์ซ้ำกรรมซัด พอเราเห็นราคาหุ้นตกลงไป เราก็กลัวว่าหุ้นตัวนั้น จะตกลงไปอีก จึงยอมขายตัดขายทุน พอขายไปเท่านั้น หุ้นเจ้ากรรม ดันวิ่งขึ้นไปทันตา ได้แต่อ้าปากค้าง



หากเราเริ่มต้นปฏิบัติธรรมด้วยความอยากเป็นคนดี อยากได้โน่น อยากได้นี่ โดยไม่เห็นความอยากของตัวเอง ไม่ปฏิบัติด้วยใจที่เป็นกลาง การปฏิบัตินั้นก็ไม่สามารถพาเราไปสู่จุดหมายที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ทางไว้ให้เราชาวพุทธอย่างแน่นอน



การลงทุนโดยขาดหลักการของการลงทุนที่ดี ก็ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับนักลงทุนได้เช่นกัน ผมจะลองยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ตัวอย่างหนึ่งนะครับ ด้วยหลักการการลงทุนที่ต่างกันของนักลงทุน ถึงแม้วิธีการคือ เข้าไปซื้อหุ้นตัวเดียวกันจำนวนเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง

คนที่ ๑ มีความเข้าใจในธุรกิจของหุ้นที่ตัวเองตัดสินใจลงทุนเป็นอย่างดี มีเหตุผลทางปัจจัยพื้นฐานมารองรับ และเชื่อมั่นว่าบริษัทดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว
คนที่ ๒ ลงทุนหุ้นตัวดังกล่าว เพราะมีคนบอกมาว่า ราคาจะวิ่งขึ้นไปเท่านั้นเท่านี้ ได้ข่าวมาว่า บริษัทจะกำไรดีในระยะสั้นๆ และเห็นเพื่อนๆนักลงทุนได้กำไรจะหุ้นตัวดังกล่าวมาเป็นกอบเป็นกำ

หากราคาหุ้นตัวที่ทั้งสองคนได้ลงทุน ราคาตกลงมาโดยไม่มีเหตุผลรองรับ คุณคิดว่านักลงทุนทั้งสองคนนี้ มีแนวโน้มจะคิด และทำอย่างไรกับหุ้นตัวดังกล่าว?
- ดูจากเหตุรองรับก่อนการตัดสินใจซื้อครั้งแรก ก็พอจะเดาได้ว่า นักลงทุนคนที่ ๑ มีเหตุผลที่หนักแน่น และไม่น่าจะหวั่นไหวกับความผันผวนเล็กๆน้อย เพราะตัวเขาเอง เชื่อมั่นในบริษัท มากกว่าจะดูที่ราคาหุ้น ส่วนคนที่ ๒ มีเหตุผลที่จะรองรับความเชื่อมั่นในหุ้นตัวดังกล่าวน้อยกว่าคนที่ ๑ เนื่องจากอยากทำกำไรระยะสั้นๆ พอไม่มีเหตุผลด้านปัจจัยพื้นฐานรองรับ ราคาหุ้นเริ่มลดลง ก็มีแนวโน้มจะขายทิ้ง เพราะกลัวว่ามันจะลงไปแรงกว่าเดิม



เรื่องความเสี่ยง ส่วนหนึ่ง ก็มาจากลักษณะเฉพาะของสินทรัพย์ที่เราไปลงทุน แต่อีกส่วนหนึ่ง มาจากแนวคิด และวิธีการลงทุนของนักลงทุนเองนะครับ จากตัวอย่างที่ยกมาให้ดู จะเห็นว่า ถึงแม้จะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน แต่ความเสี่ยงที่นักลงทุนทั้งสองคนมองกับสินทรัพย์ที่ตัวเองลงทุนกลับแตกต่างกัน


ฉบับนี้ได้แค่เรื่องแนวคิดความเสี่ยง ฉบับต่อไป ผมจะพาไปรู้จักกับปัจจัยต่างๆที่มีอิทธิพลกับการลงทุนในหุ้นเพิ่มเติมครับ เขียนเรื่องหุ้น จะเขียนแค่ครั้งเดียวพอได้ไง ^^


โดย Mr.Messenger

Investment ลงทุน อนาคต

chinese new year Graphics


คนที่ร่ำรวยอยู่ในเมืองไทยกันอยู่ทุกวันนี้จะเห็นได้ว่า เขาเหล่านั้นได้พัฒนาธุรกิจที่ไม่เคยมีมาในอดีตกันเกือบจะทุกคน ชินวัตรได้วางระบบเครือข่ายมือถือ ขณะที่คนหลายคนมองว่าไม่มีทางเป็นไปได้ และ TA เองก็ทำโทรศัพท์ตามบ้านรวมทั้งสายและเครือข่าย ขณะที่หลายคนขาดความเข้าใจในอนาคตของการสื่อสาร ร้าน Amazon.com ลงทุนกับการวางระบบ และจัดการกับระบบ Supply Chain ที่ทรงประสิทธิภาพ

...........................................................

เมื่อปี 1995 บริษัท Sun Micro Systems มีเดิมพัน 3 อย่าง เรียกว่า 3 Bets ในแง่การลงทุนกับธุรกิจ คือ 1.) Internet 2.) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า JAVA 3.) Network Communication

ทั้ง 3 อย่างนี้เป็นเรื่องที่คนที่มี Vision จะทำได้ดีกว่าคนที่ไม่มี Vision หรือวิสัยทัศน์ในการมองอนาคตเลย คนที่จะเสนอกรรมการบริหารให้ทุ่มทุนในการจัดการให้องค์กร “ซื้ออนาคต” ได้นั้น นอกจากต้องเป็นคนที่มีความเชื่อในการจัดการแบบเชิงรุกแล้ว ยังต้องมีข้อมูลและขยันหมั่นศึกษาถึงตัวเอง ตลาด คู่แข่งขัน และนวัตกรรมการพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง

เป็นที่น่าเสียดายที่ทุกครั้งที่มีการสัมนาทางวิชาการหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัย ฝ่ายบริหารมักจะส่งฝ่ายคอมพิวเตอร์ IT มาร่วมงานเพื่อนำข้อมูลไปบอกต่อ แต่ต้องอย่าลืมว่าคน IT เก่งเรื่องเทคโนโลยีแต่ขาดการมองในแง่การตลาดและการลงทุนเพื่ออนาคต อาจจะช่วยเลือก IT ที่ดีที่สุดได้ แต่ไม่อาจจะแยกแยะขนาดของตลาด อนาคตและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนไป ทำให้บอกต่อได้ไม่หมดและไม่สามารถคิดเพื่อนำเทคโนโลยีมาเป็นกลยุทธ์ได้

CEO ในโลกธุรกิจปัจจุบันจำเป็นต้องแบ่งเวลาเพื่อมองอนาคต ศึกษาตลาดที่แปรเปลี่ยนเทคโนโลยีที่จะมีผลต่อการพัฒนารูปแบบของผู้บริโภค ฉะนั้นเวลาเพื่อคิด อ่านและศึกษาจึงเป็นการลงเวลาใหม่ของผู้บริหารยุคใหม่โดยสิ้นเชิง เวลาอนาคตของผู้บริหารสูงสุดไม่ใช่อยู่ในห้องประชุมอีกต่อไป แต่เป็นการออกตระเวนหาความคิดใหม่ ๆ ในแง่ตลาดการจัดการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

ตลอดจนต้องมีแผนกวิเคราะห์แผนการตลาดในอนาคต ซึ่งจะเป็นคน IT หัวก้าวหน้ากับทีมตลาดเป็น Working Committee ลงลึกในรายละเอียดทีมนี้มีหน้าที่ชัดเจนในการเสนอแผนการตลาดใน 3 ปีข้างหน้าอย่างมีระเบียบและมุ่งเน้นตลาดใหม่ การลงทุนที่จะมีการคืนทุนอย่างชัดเจน

ที่สำคัญคือการลงทุนนี้ต้องเห็นผลใน 3 - 5 ปีเป็นอย่างน้อย และมีตัวชี้ชัดในแผน (Indicator) ในแต่ละช่วงที่ชัดเจน และวัดผลได้ทุกเดือน คนกลุ่มนี้ต้องเก่งในการพัฒนาแผนและกลยุทธ์ แน่นอนต้องเป็นคนเก่งและแพง

ถ้าไม่มีคนและหาไม่ได้ก็ต้องจ้างที่ปรึกษามาช่วย แต่ต้องเลือกให้ดีอย่าจ่ายมากแต่ได้น้อยเด็ดขาด การมีวิสัยทัศน์นั้นไม่เหมือนการบริหารสุขภาพเพียงหายามากินบำรุงพวกวิตามินก็ใช้ได้

การมีมุมมองนั้น การลงทุนเรื่องเวลาของผู้บริหารคือการลงทุนสูงสุดรองลงมาคือ ทีมการตลาดสมัยใหม่ที่ต้องลงทุนเกี่ยวกับคนที่มาช่วยหาข้อมูลและมีแผนเต็มรูปแบบ องค์กรในอนาคตคนดีดีนั้น นับวันจะหายาก เพราะองค์กรต่างชาติกวาดไปหมด

เรามักคิดว่าเขาจ้างแพงอย่างเดียวแต่จริงๆ ไม่ใช่ องค์กรที่คนหนีเพราะขาดทิศทางในการดำเนินการต่างหาก พนักงานไม่ทราบว่าแผนงานในอนาคตเขาจะมีส่วนอยู่ตรงไหนและจะได้รับอะไรบ้างเมื่อบริษัทฯสำเร็จ เราอาจจะไม่ชอบสื่อสาร หรือไม่มีอะไรจะบอก แต่ในที่สุดก็ขาดคนดีอยู่ในองค์กร นั่นคือ สิ่งที่แย่ที่สุด

ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ หรอกครับ ถ้าไม่ลงทุน เวลาอนาคตและหวังรวย แนะได้อย่างเดียว ซื้อหวยรัฐบาลรวยแน่ แต่เมื่อไหร่ไม่รู้ด้วยจริง ๆ

โดย ม.ล.ชัยวัฒน์ ชยางกูร

หนทางของอิสรภาพทางการเงิน

เมื่อไหร่นะที่เราจะไม่ต้องตื่นเช้าไปทำงานประจำอีกต่อไป....

จึงต้องกลับมานั่งเทียนหาว่าอะไรจะเหมาะลงทุนตอนนี้บ้างครับ....

chinese new year Graphics


1. เงินฝากธนาคาร เป็นอะไรที่ชาวบ้านอย่างเราๆนึกออกก่อนเสมอครับ แต่ใครจะไปนึก (อย่างน้อยคนรอบๆข้างๆตัวผมไม่คิดแน่) ว่าตอนนี้เงินฝากได้ดอกเบี้ยเท่าไหร่ ออมทรัพย์เหรอครับ 0.75 บาทครับ น้อยจนติดดิน ส่วนฝากประจำต่างๆก็ประมาณ 2-3 % ยังไม่ได้คิดหักภาษี หรือต่อให้บัญชีฝากประจำปลอดภาษี ดอกก็ราวๆ 3% แต่ไม่มีใครนึกถึงอัตราเงินเฟ้อที่มีตอนนี้ครับ ตอนนี้ราวๆ 3-5 % หมายความว่าอะไรเหรอครับ ก็หมายความว่าเงินฝากธนาคารของเรากำลังหายไปครับ หลายคนตกใจใครมาขโมยเงินเราไปได้ ไม่มีหรอกครับแต่เงินที่เราฝากไว้มันมีค่าลดลงเมื่อเวลาผ่านไป โดยที่ผลตอบแทนของเราได้ไม่เท่ากับค่าที่ลดลงของเงินที่เราฝากไว้ ตัวอย่างง่ายๆครับ ปีที่แล้วเราฝากเงิน 100 บาท ที่บัญชีออมทรัพย์เผื่อเรียก สิ้นปีเราจะได้เงินบวกดอกเบี้ย 100.75 บาท หักภาษี คงเหลือประมาณ 100.68 บาท (คิดถูกมั้ยเนี่ย ตกคณิตศาสตร์ครับผม) แต่ทว่า เงิน 100 บาทเมื่อปีที่แล้วซื้อหมูเนื้อแดงได้ครับ 1 กิโล แต่วันนี้ มีนา 51 เงิน 100 ซื้อหมูเนื้อแดงได้ไม่ถึง 1 กิโลแล้วครับ เห็นความเศร้าของชีวิตเราหรือยังครับ

2. ทองคำ ตอนนี้กำลังแพงหูฉี่ ซื้อลงทุนจะไหวมั้ยเนี่ย แต่ระยะยาวก็น่าลงทุนครับ แต่ผมคิดว่าตอนนี้ราคาสูงเกินลงทุนครับ ภาษาลงทุนเรียกว่า margin of safety ต่ำครับ คือมีแนวโน้มที่เราจะได้กำไลน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าซื้อปีที่แล้วคงพอไหวครับ แต่ผมมีข่าวที่นอนฝันแล้วเห็นครับ อิอิ ว่า IMF กำลังขาดทุน มีแนวโน้มที่กำลังจะขายทองที่เก็บไว้ออกมาเพื่อลดขาดทุน ตอนนั้นราคาทองโลกน่าจะลดความร้อนแรงลงบ้างครับ แต่อนาคตน่าจะขึ้นต่อ เนื่องจากคนจีนรวยขึ้น อินเดียรวยขึ้น แล้วคนรวยชอบใส่อะไรหน้อ แบบนี้คงเดาได้นะครับ แต่สำหรับผมขอบายไปก่อน เพราะยังไม่รวยครับ

3.กองทุนรวมต่างๆ ตอนนี้คงต้องบอกว่าการลงทุนกับกองทุนรวมปีนี้คงเรื่อยๆครับ เพราะเศรษฐกิจบ้านเราไม่ค่อยดีครับ ทั้งหุ้นและผลตอบแทนอื่นๆ ทั้งพันธบัตร และตราสารหนี้อื่นๆ แต่กองทุนที่ผมว่าน่าสนใจคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ครับ เรียกง่ายๆว่าให้เค้าซื้อตึกไปปล่อยเช่าครับ เพราะอะไรเหรอครับ เพราะค่าเช่าเอาชนะเงินเฟ้อได้ดีเสมอครับ เพราะค่าเช่าขึ้นตามกำลังซื้อของเงินที่ลดลงไงครับ ส่วนคนที่ใจถึงก็ลุยเลยครับ กองทุนที่ลงทุนต่างประเทศครับ เลือกตามชอบใจ แต่ได้อ่านข่าวมั้ยครับเศรษฐีใหม่เกิดที่ไหนมากที่สุด เลือกกองที่ไปลงที่ประเทศนั้นจะดีมั้ยหน้อ......เดาเอานะเนี่ย

4.ประกันชีวิต เพิ่งมีข่าวดีเกี่ยวกับมาตราการช่วยคนรวยของรัฐบาลครับ ไม่ได้สับสนครับแต่ผมมองว่าเป็นมาตราการที่ช่วยคนมีฐานะในระดับหนึ่งเสียมากกว่า ชาวบ้านที่ไม่ได้เสียภาษีก็ได้ผลประโยชน์น้อยมากครับ ได้จากนโยบายอื่นนิดหน่อยเท่านั้น เอาง่ายๆครับ คนที่จะจ่ายค่าเบี้ยประกันปีละ 1 แสน มีใครบ้างครับ ไม่ใช่ผมแน่ๆ ว่าแต่เข้าเรื่องดีกว่าครับ ประกันชีวิตเป็นสิ่งไม่น่ากลัวครับ เป็นยันต์กันตายและเป็นเครื่องบรรเทาผลร้ายครับ ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวครับ แต่หากเราเป็นอะไรไปก่อนคนข้างหลังยังได้ประโยชน์ครับ แถมไปลดภาษีได้อีกครับ แต่สำหรับผม ผมซื้อนิดหน่อยครับเพราะยังมีความจำเป็นไม่มาก แต่อนาคตต้องเพิ่มขึ้นแน่ครับ

5. อสังหาริมทรัพย์ ก็อย่างที่บอกก่อนหน้าแล้วครับ น่าลงทุน แต่ไม่มีตังค์ครับ ยิ่งตอนนี้ภาษีค่าโอนลดลง แต่ขอบอกว่าผู้ซื้ออย่างเราได้ประโยชน์จากนโยบายนี้เล็กน้อยครับ บริษัททำบ้านทำคอนโดรวย (ว่าแต่บ้านใครทำบ้านขาย ทำคอนโดขายสบายหล่ะครับ)

6. ตราสารทุน หรือ หุ้น มาแล้วครับของชอบของผม เพราะอะไรเหรอครับ เสี่ยงมากผลตอบแทนก็มาก แถมเอาชนะเงินเฟ้อได้ แถมตื่นเต้นอีกต่างหาก อิอิ บางคนถามว่าหุ้นเล่นแล้วไม่กลัวขาดทุนเหรอ ตอบว่าไม่กลัวครับ เพราะขาดทุนไปหลายตังค์ครับ แต่ได้บทเรียนครับ ว่าจะเล่นหุ้นแล้วหุ้นก็จะกลับมาเล่นเรา แต่หากเราลงทุนก็ทำให้เราได้ผลตอบแทนในหุ้นครับ ถามว่าลงทุนยังไง ตอนนี้ผมลองมาศึกษาการลงทุนที่เรียกว่า ลงทุนหุ้นคุณค่า หมายความว่าเราลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพที่เติบโตในระยะยาว โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนในราคาที่พุ่งขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แต่หวังในการสร้างมูลค่าในตัวของบริษัทที่เราลงทุนที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมูลค่าของหุ้นนั้นจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของมัน แล้วตอนนั้นเราจะเห็นว่าเราได้ผลตอบแทนเท่าไหร่

ตอนนี้ผมกำลังศึกษาแนวการลงทุนแบบนี้อยู่ครับ ตอนนี้มีคนไทยลงทุนแนวนี้มากขึ้นครับลองเข้าไปศึกษาได้ที thaivi.com ได้ครับ แล้วจะเห็นว่าการลงทุนแบบนี้สามารถทำให้เราได้อิสระภาพทางการเงินได้จริงหรือเปล่า ไม่เชื่อลองดูมหาเศรษฐีใหม่ของโลกสิครับ Warren Buffet คุณลุงที่หาเงินได้ด้วยการซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความสามารถในการเติบโตในระยะยาว จนในที่สุดสร้างมูลค่ามหาศาลให้ จนคุณลุง Buffet รวยที่สุดในโลกไปแล้ว โดยไม่ต้องไปทำหน้าต่างขายแต่อย่างใด

อ่านมาแล้วได้อะไรบ้างครับ สรุปได้แล้วใช่มั้ยครับว่าผมชวนมาเล่นหุ้น อิอิ ไม่นะครับผมเปล่านะ ว่าแต่พร้อมที่จะไปสู่อิสระภาพทางการเงินหรือยังครับ ไปกันเลยครับแต่รวยแล้วอย่าลืมผมนะครับ


ที่มา http://gotoknow.org/blog/investor

ธุรกิจซื้อซากหนี้

chinese new year Graphics


กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อนเก่าที่เคยมีอาชีพ นักประชาสัมพันธ์โทรศัพท์มานัดหมาย เพื่อเล่าเรื่องราวการยึดทรัพย์ และการประมูลขายทอดตลาด สินทรัพย์ที่ถูกยึด ของกรมบังคับคดี เพื่อนเก่ารายนี้เปลี่ยนอาชีพแล้ว โดยเป็นนักประมูล ซื้อบ้านและที่ดินเปล่า จากกรมบังคับคดีโดยตรง


คุยกับเพื่อนเก่ารายนี้ คุ้มค่าเวลาจริงๆ เพราะทำให้หูตากว้างเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ การประมูลขายทอดตลาด และการทำมาหากินกับซากหนี้ ที่กรมบังคับคดีนำออกมาขาย


เพื่อนคนนี้เผชิญกับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 โดยบ้านที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยและซื้อเพื่อให้เช่า รวมทั้งสิ้น 11 หลัง ถูกฟ้องยึดหมด แต่พยายามหาทางเอาคืนกลับมา จึงเริ่มศึกษาขั้นตอนการยึดทรัพย์ และการขายทอดตลาดของกรมบังคับคดี


จากคนที่ไม่รู้ขั้นตอนการยึดทรัพย์ ไม่เข้าใจในการประมูลขายทอดตลาด ไม่รู้ระเบียบปฏิบัติของกรมบังคับคดี หลังใช้เวลาพักหนึ่ง จึงได้รู้และเห็นช่องทางการทำธุรกิจ


และจากความตั้งใจประมูลซื้อสินทรัพย์ของตัวเองคืนกลับมา เปลี่ยนเป็นเป้าหมาย การประมูลซื้อบ้านของคนอื่น เพื่อนำมาค้าขายหากำไรต่อ โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประมูลซื้อบ้านจากกรมบังคับคดีมาแล้วประมาณ 100 หลัง ไม่รวมรายการประมูลซื้อที่ดินเปล่า


สินทรัพย์ที่กรมบังคับคดีนำมาขายทอดตลาด จะขายในราคาประเมิน ซึ่งมักจะประเมินไว้ไม่สูงนัก โดยกลุ่มนักประมูลจะศึกษาว่า บ้านหรือที่ดินที่นำมาขายนั้น ตั้งอยู่ในทำเลใด ราคาประมูลสูงไปหรือไม่ และมีโอกาสขายต่อทำกำไรได้ขนาดไหน โดยจะไม่จะผลีผลามประมูล โดยไม่ได้เห็นตัวบ้าน


ถ้าราคาประมูลครั้งแรกยังสูง จะรอจนเปิดประมูลจนครบ 3 ครั้ง ซึ่งหากไม่มีผู้ประมูลซื้อ กรมบังคับคดีจะลดราคาประมูลลง 50%


บ้านที่ประมูลมาบางหลัง ซื้อเพียง 9 แสนบาท แต่ขายได้ 1.3 ล้านบาท หรือประมูลซื้อมา 1 ล้านบาท แต่ขายได้ 3 ล้านบาท โดยใช้เวลาขายต่อเพียง 1 สัปดาห์ หรือช้าที่สุดใช้เวลา 4 เดือนครึ่ง


การประมูลซื้อบ้าน จะเลือกซื้อเฉพาะบ้านที่สร้างเสร็จ และตั้งอยู่ในทำเลที่ดี โดยเฉพาะบ้านโครงการบ้านจัดสรรในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และจะทุ่มเงินตกแต่ง ปัดฝุ่นทาสี ลงทุนเพียงไม่กี่หมื่นบ้าน จะมีสภาพเป็นบ้านใหม่ หลังจากนั้น จะติดราคาเสนอขาย หรือถ่ายรูปบ้านลงโฆษณาเสนอขายทันที


เจ้าของโครงการบ้านจัดสรร อาจจะตั้งราคาขายบ้านสร้างใหม่หลังละ 1.5 ล้านบาท แต่บ้านที่ประมูลซื้อมาจากกรมบังคับคดี เสนอขายเพียง 1.3 ล้านบาท จึงทำให้เกิดสภาพซื้อง่ายขายคล่อง


เพื่อนคนนี้ใช้เวลาเพียง 2 ปี ฟื้นฐานะของตัวเองกลับขึ้นมาใหม่ มีเงินนับสิบล้านบาท และประมูลบ้านของตัวเองคืนมาเกือบครบทั้ง 11 หลังแล้ว


ธุรกิจประมูลซื้อซากหนี้จากกรมบังคับคดี ฟังดูทำไม่ยาก รวยเร็ว และเป็นอาชีพที่สุจริตเสียด้วย แต่จริงๆ แล้ว ไม่ง่าย และถ้าไม่รู้จริง ความเสี่ยงสูง ส่วนเสี่ยงอย่างไร ฉบับพรุ่งนี้เล่าต่อ


สัญญาณและสิ่งบ่งชี้ในหลายด้าน ชวนเชื่อให้เกิดความเชื่อว่า ปีนี้ เศรษฐกิจน่าจะฟื้น แต่ขณะที่คนส่วนใหญ่ กำลังตั้งความคาดหวัง กับแนวโน้มเศรษฐกิจ คนส่วนหนึ่ง กลับกังวลกับสถานการณ์เศรษฐกิจ คนที่ยึดอาชีพประมูลหนี้ ที่กรมบังคับคดี นำมาขายทอดตลาด เป็นคนอีกกลุ่มที่กังวล เพราะไม่ได้มองแนวโน้มเศรษฐกิจในแง่ดีนัก


ไม่มั่นใจว่าจะฟื้นจริง และกลัวว่าจะเกิดวิกฤติรอบใหม่


เพื่อนเก่าที่ทำมาหากินกับการประมูลบ้านจากกรมบังคับคดี จนฟื้นฟูฐานะของตัวเองได้ เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่วางใจกับทิศทางเศรษฐกิจ และตัดสินใจ หยุดการประมูลซื้อบ้านมาประมาณ 3 เดือนแล้ว เพราะรู้สึกว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเกิดความเสี่ยง


ปัจจัยที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า เศรษฐกิจไทยมีความสุ่มเสี่ยงสูง ส่วนหนึ่งเกิดจากประสบการณ์การทำธุรกิจประมูลบ้าน


เพื่อนเก่ารายนี้เล่าให้ฟังว่า คนที่ซื้อบ้านต่อ หลังจากประมูลออกจากกรมบังคับคดี ส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมเหมือนกัน โดยมักจะเสนอขอวงเงินกู้ซื้อบ้านจากธนาคาร สูงกว่าราคาบ้านที่ซื้อจริง


บ้านที่ประมูลจากกรมบังคับคดี จะมีราคาต่ำกว่าราคาตลาด และแม้จะขายต่อ ก็ยังขายราคาต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่งผู้ที่ซื้อต่อจะเสนอขอเงินกู้จากธนาคารในวงเงินสูงกว่าราคาซื้อจริง


บ้านราคา 1 ล้านบาท ผู้ที่ซื้อต่อ อาจจะเสนอกู้แบงก์ถึง 1.5 ล้านบาท


เงินที่กู้เกินจากราคาบ้าน จะถูกนำไปตกแต่งบ้าน ซื้อเฟอร์นิเจอร์ ซื้อรถยนต์หรือใช้จ่ายอย่างอื่น ซึ่งหมายถึง ภาระการผ่อนบ้าน จะไม่จำกัดอยู่เฉพาะราคาบ้านเท่านั้น แต่จะพ่วงภาระหนี้จากการใช้จ่ายที่เกินตัวอีกด้วย


คนซื้อบ้านประเภทนี้ มักจะคาดหวังกับรายได้ในอนาคต ซึ่งหากรายได้ไม่เป็นไปตามคาดหวัง จะหมดความสามารถในการผ่อนชำระ และปล่อยให้บ้านถูกยึด สินเชื่อที่แบงก์ปล่อยกู้ จะกลายเป็นเอ็นพีแอล ส่วนบ้านอาจจะถูกยึดขายทอดตลาดรอบสอง


เพื่อนเก่ารายนี้มองว่า พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนไทย เริ่มจะกลับสู่ความฟุ้งเฟ้อ การจับจ่ายที่เกินตัว และคาดหมายกับรายได้ในอนาคตมากเกินไป ซึ่งเคยเป็นต้นเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจรอบก่อน


รถยนต์ที่ขายดี บ้านที่สร้างไม่ทันขาย หรือห้างสรรพสินค้าที่เต็มไปด้วยผู้คนที่แห่ไปจับจ่ายนั้น อาจจะเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่ดีในสายตาของคนทั่วไป แต่สำหรับเพื่อนร้ายนี้ ถือเป็นสัญญาณเตือนให้ต้องระมัดระวังตัว


เพราะคนที่ซื้อบ้านใหม่ อาจจะประเมินความสามารถในการผ่อนชำระของตัวเองสูงเกินไป หรือตัดสินใจสร้างภาระหนี้ผูกพัน โดยที่ยังไม่มีความพร้อม


ส่วนธนาคารพาณิชย์ก็แข่งขันปล่อยกู้ซื้อบ้าน โดยสินเชื่อไม่ได้กระจายตัวสู่ภาคการผลิตที่แท้จริง และในอนาคต ธนาคารพาณิชย์ อาจจะเต็มไปด้วยบ้านและที่ดินเปล่าที่ยึดจากลูกค้า


เพื่อนรายนี้คาดว่า ในปีหน้าธนาคารบางแห่ง อาจจะมีปัญหาด้านฐานะ เพราะปัญหาหนี้เสียท่วม


สำหรับรถยนต์ที่ขายดี ห้างสรรพสินค้าที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินจับจ่าย อาจจะไม่ใช่กำลังซื้อจริง แต่เกิดจากการสร้างหนี้ หรือนำเงินออมในอนาคตมาจับจ่าย โดยเฉพาะการจับจ่ายผ่านบัตรเครดิต


ยอดขายรถยนต์ที่เติบโต ยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้น จึงไม่ใช่สิ่งที่คนไทยควรจะภาคภูมิใจ เพราะเงินที่คนไทยหมดไปกับการซื้อรถยนต์ เงินที่ผู้บริโภคจ่ายไปในห้างสรรพสินค้าต่างๆ จะถูกนำออกไปต่างประเทศ


รถใหม่แต่ละคันที่ถูกขับออกจากเต็นท์ หมายถึงเงินของประเทศจำนวนหลายแสนหรือหลายล้าน ไหลออกนอกประเทศ


ยอดจับจ่ายในห้างสรรพสินค้าแต่ละวัน หมายถึงเงินของประเทศบินออกนอกประเทศในทุกวัน


คนไทยร่ำรวยกันถึงขั้นซื้อรถใหม่ป้ายแดงวิ่งกันเต็มถนนแล้วหรือ คนไทยมีหลักประกันความมั่นคงจนถึงขั้นซื้อบ้านใหม่จนสร้างไม่ทันขายแล้วหรือ กำลังซื้อผู้บริโภคกลับมาจริง จนมีความสามารถจับจ่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าต่างชาติได้ไม่อั้นแล้วหรือ


และประเทศไทยกลับมาสู่ฐานะความมั่งคั่งเหมือนเดิม จนไม่ใส่ใจกับเงินออมที่กำลังไหลทะลักออกนอกประเทศแล้วหรือ


คำถามและมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเพื่อนเก่า นักประมูลซากหนี้จากกรมบังคับคดีรายนี้ เป็นสิ่งที่น่าค้นหาคำตอบ


เพราะแม้จะเป็นการมองเศรษฐกิจในแง่ร้าย แต่เป็นมุมที่น่ามองอย่างยิ่ง


โดย (สุนันท์ ศรีจันทรา คอลัมน์เดินสวนกระแส นสพ.กรุงเทพธุรกิจ หน้า 14 จันทร์ 15,พุธ 17 เมษายน 2545)

กล้าที่จะออกจากวงจรมนุษย์เงินเดือน

chinese new year Graphics


for everyone

มนุษย์เงินเดือน ได้รับเงินเดือนทุกเดือน มันเหมือนการรับประกันในชีวิตว่า ถ้าคุณมีงานทำคุณก็จะได้เงินเดือนไปทุกๆเดือน เมื่อเป็นการรับประกันเช่นนี้ คนที่กินเงินเดือน จึงติดอยู่กับความมั่นคงของการได้รับเงินเดือนอย่างเป็นประจำ และ ปล่อยให้เจ้าของกิจการต่างๆเหล่านั้น แบกรับความเสี่ยงเอง และเป็นเรื่องสัจธรรมอย่างหนึ่งของชีวิตคือ "คนที่เสี่ยงมาก ก็ย่อมได้รับกลับไปมาก - High Risk High Return"

พนักงานระดับสูงหลายๆท่านจะเข้าใจในเรื่องนี้ดี เพราะ พนักงานระดับสูงมีรายได้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับพนักงานทั่วไป แต่ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น พนักงานระดับสูงก็จะโดนเล่นงานก่อนเสมอ และ หากต้องปลดพนักงานออกเพื่อลดต้นทุน สิ่งแรกที่เจ้าของกิจการจะทำก็คือ การปลดพนักงานระดับสูงที่มีคุณค่าน้อยที่สุดออกก่อนเสมอ หรือ แม้นแต่การรวบตัวขององค์กร ก็มักจะคัดเลือกเฉพาะพนักงานระดับสูงที่มีคุณค่า เอาไว้ และให้คนที่คิดว่ามีคุณค่าน้อยที่สุดออก หรือ บีบออกก็ตาม

หรือแม้นแต่หากแผนกใดแผนกหนึ่งไม่ได้ทำกำไรให้องค์กร แผนกนั้นก็จะถูกยุบไป มันเป็นเรื่องปกติทั่วๆไปที่จะเกิดขึ้น อย่าง พนักงานโรงงานแม้นจะทำในการผลิต แต่เมื่อมีเหตุที่ทำให้ขายสินค้าที่ผลิตไม่ได้ โรงงานก็จะปิดแผนกการผลิตไว้ชั่วคราวก่อนเสมอ เพื่อไม่ให้สูญเสียรายได้โดยไม่จำเป็น

มองย้อนกลับไปว่า พนักงานทำงาน ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิดๆกัน เพราะถ้าจะให้อยู่รอดต่อไป เจ้าของกิจการเกือบทุกคนจะเลือกที่จะ ละทิ้งพนักงาน มากกว่าจะทำให้เขาล่มจมไปพร้อมๆกับพนักงานไปด้วย

มีคนเก่งๆหลายคนที่ยังติดกับทางด้านเงินเดือนอยู่ ทั้งๆที่มีความสามารถที่จะออกมาทำธุรกิจของตัวเองได้ และหาข้อแก้ตัวมากมาย เช่น ทำงานมานานมีความผูกพันธ์ ไม่อยากละทิ้งงาน เป็นต้น ทั้งนี้ เพราะเขาอาจจะได้รับความมั่นใจในการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนมามาก ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคยมากๆ รวมไปถึงความผูกพันธ์กับองค์กร ก็เป็นส่วนที่รั้งในการตัดสินใจเช่นกัน

การก้าวข้ามผ่านระหว่างมนุษย์เงินเดือน กับ เจ้าของธุรกิจอยู่ตรงที่ "การยอมรับความเสี่ยง" ซึ่งหากคุณสามารถลดความเสี่ยงต่างๆลงได้ด้วยการวิเคราะห์ พินิจพิจารณาในแต่ละด้านให้ครบถ้วน หาจุดเสี่ยง และ หนทางป้องกันความเสี่ยงให้มากที่สุดเพื่อมาสนับสนุนแนวคิดธุรกิจ ซึ่งเมื่อคุณมั่นใจว่าความเสี่ยงเท่าที่คุณคิดมามันสามารถแก้ไขหรือลดความเสี่ยงต่างๆลงได้ นั่นหมายถึงคุณก็จะสามารถที่จะเริ่มที่จะก้าวต่อไปได้เช่นกัน

แต่ทั้งนี้ โอกาส ในการทำธุรกิจของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ขอแค่สามารถหาธุรกิจที่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้ เป็นจุดเปลี่ยนที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จ และ ถ้าพบจุดเปลี่ยน ก็จงมั่นใจว่ามันจะเป็นธุรกิจที่เชื่อได้ว่ามันจะดี

ใครจะรู้ว่า แค่เก้าอี้สามารถทำธุรกิจหลายร้อยล้านได้ เพียงใส่กลไกในการนวดเข้าไป...

ใครจะรู้ว่า แค่เศษขยะในชีวิตประจำวันของเรา จะทำให้คนหลายๆคนกลายมาเป็นเศรษฐี

และมีคนเคยเปรียบเทียบกับการทำธุรกิจเหมือนการขับรถยนต์ คุณเหยียบคันเร่ง ก็จะทำให้รถเคลื่อนที่ไป หากคุณเหยียบเบรค คุณก็จะหยุดการเคลื่อนที่ ซึ่งทุกอย่างของธุรกิจ เกิดขึ้นจากผลของการกระทำของคุณทั้งสิ้น ซึ่งไม่ใช่คนที่อยู่เหนือคุณอีกต่อไป

นอกจากคุณจะวิเคราะห์ธุรกิจที่จะทำแล้ว ก่อนที่คุณจะออกจากงานประจำคุณจึงควรจัดเตรียมเรื่องต่างๆไว้ให้พร้อม เช่น

หาประสบการณ์เสมือนจากการคุยกับเจ้าของธุรกิจ หรือ ที่ปรึกษาธุรกิจ หรือ นักบัญชีในสำนักงานบัญชีที่เราหมายมั่นว่าจะทำบัญชีกับเขา หรือ นักกฎหมายที่จะให้เขาจดทะเบียนให้กับเรา ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เข้าใจสภาพของการเป็นเจ้าของธุรกิจว่ามีสภาพเป็นเช่นใด และ ต้องปรับตัวเช่นใด เพื่อสร้างนิสัยการเป็นเจ้าของกิจการให้เกิดขึ้น และ ทำให้มองเห็นภาพของตนเองในอนาคตได้อีกด้วยว่า คุณชอบในการเป็นเจ้าของกิจการมากน้อยเพียงใด

แต่ทั้งนี้ ถ้าคุณทราบว่าธุรกิจของคุณจะทำอะไร ก็ต้องประเมินสภาพการเงินของตนว่าเหมาะกับการทำธุรกิจนั้นๆ มากน้อยเพียงใด ไม่ใช่ว่ามีเงินเพียงเล็กน้อยแต่จะทำธุรกิจขนาดใหญ่โตมากเกินตัว การกู้ยืมเงินเพื่อมาลงทุนเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องไม่กู้เงินในจำนวนที่มากเกินกว่าความสามารถในการใช้หนี้ได้ อย่าหวังว่าจะได้รับเงินจากธุรกิจมาเพื่อใช้หนี้ เพราะคนส่วนใหญ่ที่คิดเช่นนี้ ต่างก็ได้รับผลกรรมด้วยการมีเงินชักหน้าไม่ถึงหลัง ความคล่องตัวทางการเงินไม่เพียงพอ จนต้องปิดกิจการเป็นหนี้เป็นสินอย่างมากมายหลายต่อหลายคน

เมื่อพูดถึงสภาพของเงิน ก็ต้องคาดการณ์รายได้ที่จะเข้ามา เทียบกับรายจ่ายที่จะต้องจ่ายออกไปอยู่บ่อยๆ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้มองเห็นภาพของความเป็นจริงว่าธุรกิจเหล่านั้นจะพาตัวคุณให้รอดพ้นจากความยากจน หรือ ว่าจะทำให้คุณยิ่งยากจนลง

การจะออกมาจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็ควรมีเงินสนับสนุนอยู่เพียงพอ อีกทั้ง คู่สมรสสามารถที่จะช่วยเหลือในช่วงออกมาทำธุรกิจเองได้บ้าง อย่าได้ออกมาทั้งคู่เพื่อมาลงทุนร่วมกัน ควรจะให้คนใดคนหนึ่งทำงานประจำหรือมีเงินรายได้พอเลี้ยงครอบครัว ก่อนที่จะออกมาเต็มตัวหนึ่งคนเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ แต่ถ้าหากมีคนสนับสนุนอื่นๆที่คอยช่วยเหลือเราเมื่อมีปัญหาต่างๆ ทั้งทางด้านเงินทุน หรือ สินค้า ก็ต้องชั่งใจเขาให้ได้ว่าเขานั้นสนับสนุนเราอย่างจริงใจ ตรงไปตรงมาหรือไม่เช่นกัน

นอกจากนี้ คุณยังต้องเตรียมพร้อมร่างกายและจิตใจของคุณให้มีความเข้มแข็ง เชื่อมั่นในตนเอง เพราะเมื่อคุณออกมาทำธุรกิจของคุณเอง คุณต้องทำงานมากกว่าเดิม 2-3 เท่าตัวเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยง ดังนั้น เมื่อทำงานมาก คุณก็จะยิ่งเครียดมาก การผ่อนคลายความเครียดจึงจำเป็นต้องสร้างให้มีในตัวคุณ ปล่อยวางในสิ่งที่ไม่จำเป็นให้มากๆ

และ กว่าคุณจะประสบความสำเร็จคุณก็ต้องใช้เวลา อย่าคิดว่าทำวันนี้ พรุ่งนี้รวยเหมือนซื้อล๊อตเตอรี่ นะครับ เพราะว่า กว่าผลของความทุ่มเทที่คุณลงทุน ลงแรงไปจะออกดอกออกผล ก็ต้องใช้เวลา และ ต้องทำอย่างต่อเนื่อง คุณอาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 3-4 เท่าตัว เพื่อให้ได้เงินมาเท่ากับรายได้ตอนเป็นมนุษย์เงินเดือนเสียด้วยซ้ำ

ถ้าคุณจะออกมาทำธุรกิจของตัวเองก็ต้องเผื่อหนทางหนีไว้บ้าง ตระหนักถึงการขาดทุนให้มากๆ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนไม่ให้คุณประมาทในการดำเนินกิจการ และ ต้องเผื่อเงินสำรองไว้ หากธุรกิจของคุณไม่ประสบความสำเร็จ ก็จะได้มีเงินในการลงทุนในเรื่องที่คุณถนัดต่อไป

ทั้งนี้ ของแค่วางแผนการ และ เตรียมพร้อมตัวเองก่อนออกมาทำธุรกิจของตัวเองเท่านั้น ก็จะเป็นเครื่องยืนยันว่า คุณอาจจะเป็นหนึ่งในผู้ประสบความสำเร็จใจการจัดตั้งธุรกิจของตนเองในอีกไม่ช้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ มันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และ การวิเคราะห์ของคุณว่ามีความเที่ยงตรงมากน้อยเพียงใดด้วย ไม่เอนเอียงเข้าข้างตัวเอง และ มองในมุมมองของนักธุรกิจ ไม่ใช่มุมมองของพนักงานทำงานทั่วๆไป

อย่าเพียงคิดว่า ความผิดพลาดเป็นประสบการณ์ แต่จงเอาประสบการณ์จากความผิดพลาด ทั้งทางตรง และ ทางอ้อมจากคนอื่นๆ มาเป็นบทเรียนที่คุณจะไม่ทำให้มันผิดพลาดอย่างที่คุณรู้มาก่อน...

โดย wbj

SMEs วิถีเถ้าแก่ (Nanosoft Marketing Series)

chinese new year Graphics


อยากเป็นเถ้าแก่ไหมครับ . . . ? อันที่จริงผมไม่น่าถาม ใครๆ ก็คงอยากเป็นกันทั้งนั้น (รวมถึงตัวผมด้วย) เพราะพอพูดถึงคำว่า “เถ้าแก่” ทีไร เป็นต้องนึกถึงภาพผู้ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ (พูดให้เข้าใจง่ายคือ “รวย” ) มีลูกน้องมากมาย ใช้รถหรูให้ชาวบ้านอิจฉา

แต่สิ่งที่ปรากฎต่อสายตาของสังคม เป็นเพียงผลลัพธ์ครับ เพราะกว่าจะมาเป็นแบบที่เห็น ๆ กันทุกคนต้องฝ่าฟันความยากลำบากแบบไม่ธรรมดากันมาแล้ว ทั้งนั้น เห็นใครๆ ประสบความรุ่งโรจน์แบบนั้นแล้ว คุณนึกอยากลองสู้ดูซักตั้งไหมครับ . . . ?

คุณปรีชา ส่งวัฒนา เจ้าของบริษัทฟลายนาว กล่าวไว้ว่า “ไม่มีใครห้ามคุณรวยได้ นอกจากตัวคุณเอง จริง ๆ แล้วเงินทองมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ขึ้นอยู่กับว่า คุณมีสายตาแหลมคมพอที่จะมองเห็นและมุ่งมั่นพอที่จะไขว่คว้ามันมาหรือเปล่าเท่านั้นเอง” คงจะจริงของท่านนะครับ เพราะจากกิจการฟลายนาวที่เคยเป็นธุรกิจขนาดเล็ก รุ่นบุกเบิกเมื่อ 10 ปีก่อน มีพนักงานอยู่แค่ 10 กว่าคน
กลายมาเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ มีพนักงานพันกว่าคน ส่งสินค้าจำหน่ายทั่วโลก คงเป็นเครื่องยืนยันได้ดี

สิ่งสำคัญอยู่ที่ความพยายามครับ มีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากสร้างฐานะของตนเอง แต่มีแรงกระตุ้นของความอยากรวยไม่เพียงพอคำว่า “เถ้าแก่” ต่างจาก “เจ้าพ่อ” ตรงที่ไม่มีการรวยทางลัด ทุกคนจึงต้องผ่านการทำงานหนัก และผ่านหุบเหวของความล้มเหลวกันมาแล้วทั้งนั้น

คุณ ๆ ที่อยากเป็นเจ้าของกิจการ ลองตั้งคำถามกับตัวเองสัก 2 ข้อนะครับ

1. คุณพร้อมที่จะทำงานหนักวันละ 20 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ติดต่อกันเป็นปี ๆ หรือเปล่า
ถ้าตอบว่า พร้อม ! ยินดีด้วยครับ คุณมีคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว แต่ถ้ายังไม่พร้อมจะทำขนาดนั้น บางทีคุณอาจเหมาะกับการเป็นลูกจ้างมากกว่า

2. คุณพร้อมที่จะยอมรับความเสี่ยง มากน้อยแค่ไหน การเป็นเจ้าของกิจการกับลูกจ้างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในเรื่องผลกระทบจากความเสี่ยง คิดง่าย ๆ คือ ถ้าเป็นลูกจ้างแล้วบริษัทเจ๊ง อย่างมากคุณก็แค่ตกงาน แต่ถ้าเป็นเถ้าแก่แล้วกิจการล้มเหลว อาจหมายถึง สูญเสียทรัพย์สินที่อุตส่าห์หามาทั้งหมด ดีไม่ดียังมีหนี้สินที่อาจจะต้องรับภาระชดใช้กันไปถึงชาติหน้า อย่างที่ลูกหนี้มืออาชีพท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า “สำหรับคนบางคน NPL (Non Performing Loan) ไม่มีอยู่จริงของแท้ต้องเป็น NLP คือ (Next Life Payment !!! )” ถ้าทำงานหนักได้และเชื่อมั่นว่าจะลุกขึ้นได้ทุกครั้งที่ล้ม โอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าครึ่งแล้วครับ

ต่อมาคือการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ที่ต้องมาจากการตระหนักถึงความต้องการของตัวเอง รู้ว่าอยากประกอบกิจการประเภทไหน มีความสามารถที่จะทำเรื่องนั้น ๆ ได้ดีกว่าคนอื่นหรือเปล่า ถนัดในเรื่องที่จะทำมากพอหรือยัง มีคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มต้นจากการมีเงิน แต่ไม่รู้จะทำอะไร แล้วก็ไปหยิบจับธุรกิจการประเภทไหน มีความสามารถที่จะทำเรื่องนั้นๆ ได้ดีกว่าคนอื่นหรือเปล่า ถนัดในเรื่องที่จะทำมากพอหรือยัง มีคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มต้นจากการมีเงิน แต่ไม่รู้จะทำอะไร แล้วก็จับหยิบธุรกิจที่ด่วนสรุปเองว่า ทำแล้วจะรวยเหมือนคนอื่นๆสุดท้ายก็จบลงด้วยประสบการณ์ที่บอกได้ว่าควรจะไปทำกิจการอะไร แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเงินเหลือจะไปลงทุนเสียแล้ว คนอีกกลุ่มหนึ่งรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ถ้าโชดดีมีทุนพร้อมก็เริ่มต้นง่าย แต่ถ้ายังไม่มีเงินทุนก็ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ บอกแล้วไงครับเงินทองมีอยู่ทุกแห่ง ขอเพียงตาไม่บอดเงิน ต้องมีลู่ทางหาเงินมาลงทุนจนได้แหละครับ เดี๋ยวนี้สถาบันการเงินต่าง ๆ หันมาให้ความสนใจที่จะปล่อยกู้เงินเพื่อ สนับสนุนธุรกิจขนาดย่อมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงเทพฯ และบริษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม แหล่งเงินทุนเหล่านี้ พอจะช่วยคลายปัญหาได้

พวกที่น่าสงสารที่สุดก็คือ คนที่เงินไม่มี และยังไม่รู้จะทำอะไรสิ่งเดียวที่พอจะบอกได้ชัด ๆ ก็คือ “ความอยากเป็นเถ้าแก่” คำแนะนำของผมคือ คุณต้องค้นตัวเองให้พบเสียก่อนว่าอยากทำอะไร ถ้าคิดคนเดียวแล้วไม่มั่นใจ หาคำปรึกษาได้จากศูนย์ใจถึงใจ กระทรวงแรงงาน หรือกรมส่งอุตสาหกรรม หรืออีกแห่งหนึ่งก็คือ สถาบันพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและย่อม ที่มหาวิทลัยธรรมศาสตร์ คุณอาจจะได้พบคำตอบที่ต้องการ ส่วนเรื่องเงินก็ลองย้อนกลับไปดูที่ผมเพิ่งบอกมาเมื่อสักครู่

ส่วนพวกที่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าตัวเองถนัดอะไร อยากทำอะไร แต่ยังหลับหูหลับตาทำธุรกิจสักอย่างต่อไป คราวนี้ต้องอาศัยแรงฟลุ๊คแล้วล่ะครับ ผมแนะนำให้ดำเนินกิจการต่อไป และซื้อล๊อตเตอรี่ หรือสลากออมสินประกอบไปด้วย โอกาสรวยจากวิธีหลังอาจพอมีบ้าง

เอาล่ะครับ พอตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอะไร สิ่งที่ต้องทำเป็นขั้นตอนต่อไปคือ การศึกษาให้ลึกซึ้ง อยากเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ต้องรู้ว่าเขาทำกันอย่างไร เขาซื้อวัตถุดิบจากไหน เคล็ดลับในการปรุงให้อร่อยกว่าเจ้าอื่นคืออะไร และอีกร้อยแปดที่เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวต้องรู้ ข้อมูลแบบนี้อาจต้องหาได้จากการสังเกต หรือการเอาตัวเองเข้าไปสัมผัส แบบที่ญี่ปุ่นเรียกว่า Actual Rescarch หรือเป็นภาษาไทยง่าย ๆ ว่า “ครูพักลักจำ” ลองคุยเจ้าของร้านดู ขอสมัครเป็นลูกมือ แล้วเข้าไปเรียนรู้ คือการเข้ารับการอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ สำหรับผู้ประกอบการตามประเภทธุรกิจที่คุณสนใจ เช่น การทำขนมไทย ขนมอบ จัดดอกไม้ ช่างซ่อมรถ ซึ่งก็มีตั้งแต่ฟรีไปจนถึงเสียเงิน กระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร ก็มีจัดอบรมอยู่เรื่อย สอบถามรายละเอียดแล้วลงทะเบียนเองตามอัธยาศัยได้เลยครับ

สุดท้ายคือการมองหาโอกาสและทัศนคติเชิงบวกต่อการทำธุรกิจ อย่าเอาแต่กลัวอุปสรรค เพราะในทุก ๆ ปัญหาย่อมมีโอกาส อยู่เสมอ ยังจำคอมฟอร์ต 100 ที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในสมัยหนึ่งได้ไหมครับ นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการเปลี่ยนอุปสรรคเป็นโอกาส

หลาย ๆ คนเป็นกังวลว่าอยากประกอบกิจการสักอย่างหนึ่งแต่กลัวไปแข่งขันกับเจ้าเก่าที่เริ่มทำมาก่อนไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่มีหนี้สินติดตัวมาตั้งแต่ยุค ฟองสบู่แตก ต้องมานั่งกุมขมับกับหนี้สินที่กู้มาตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู แค่คิดจะหาวิธีใช้หนี้ก็แทบไม่มีเวลาไปริเริ่มทำอะไรแล้วครับ คุณ ๆ หลายคนยังดีกว่ามากที่อย่างน้อย ก็เริ่มจากแค่ศูนย์ไม่ถึงกับติดลบ ยังมีแรงคิดแรงทำอะไรอีกเยอะ

ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ เริ่ม อดทนและมีสติเสมอนะครับ


ที่มา http://www.nanosoft.co.th/maktip14.htm

หากชีวิตคือการลงทุน "คนเรามีการลงทุนได้ตลอดชีวิต"

chinese new year Graphics


for everyone

"วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์“


หากใครเปิด Google แล้ว search หาคำว่า “วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์” รับรองได้เลยว่าข้อมูลหลั่งไหลออกมายาวเป็นวา สื่อทุกแขนงเคยสัมภาษณ์เขา เพราะคนรุ่นใหม่ยกให้เขาเป็นโมเดลแห่งความคิดในเชิงบวก เด็กหลายๆ คนอยากเป็นเหมือนเขา บางคนอยากเข้าไปทำงานในนิตยสาร a day ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง


วงศ์ทนง จบปริญญาตรี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในรั้วมหาลัยเขาเป็นคนเรียนได้เกรดไม่ค่อยจะสูงอะไรมากนัก แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาล้มเหลว ตรงกันข้ามกลับประสบความสำเร็จในสายอาชีพชนิดใครๆ พากันอิจฉา


หลังจบ การศึกษาเขากลับมากรุงเทพเพื่อตามหาฝันของตัวเองด้วยการร่อนส่งใบสมัครงาน ตามกองบรรณาธิการต่างๆ เขาเริ่มต้นที่กองบรรณาธิการนิตยสาร Hi-Class ในปี 2533 ทำได้ปีเดียวก็กระโดดไปอยู่กองบรรณาธิการนิตยสาร Life & Decor อยู่ได้ราวๆ 4 ปี แล้วไปอยู่ที่กองบรรณาธิการบทความ นิตยสาร GM อยู่ได้เพียงปีเดียว เขาได้รับการทาบทามไปเป็นบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Trendy Man ในปี 2538 ขณะที่อายุเพียง 26 ปี จึงถูกบันทึกให้เป็นบรรณาธิการอายุน้อยที่สุดในประเทศไทย ในขณะนั้น


เมื่อ ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจ Trendy Man ปิดกิจการเหมือนกับธุรกิจอื่นๆ หลายร้อยหลายพันแห่ง เขาต้องจำใจเดินออกไป และได้งานในฐานะรองบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Image ในช่วงปี 2541 แต่ก็ทำได้เพียงปีเดียว ก็ตัดสินใจก้าวออกมาเพื่อสร้างความฝันของตัวเองให้เป็นจริง


เขามี ความเชื่อว่าจะต้องทำหนังสือให้เหมือนการทำชีวิต เขาจึงก่อตั้งนิตยสาร a day ร่วมกับเพื่อนสนิทอีก 2 คน คือ นิติพัฒน์ สุขสวย และ ภาสกร ประมูลวงศ์ และเพื่อนๆ อีก 3 คน แต่จุดเริ่มต้นของเขาแปลกแหวกแนวเพราะเป็นคนที่คิดนอกกรอบ


ปีนี้ วงศ์ทนงมีอายุย่างเข้าเลขสี่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าหน้าตาของเขายังหนุ่มยังแน่น ด้วยอารมณ์แจ่มใส เวลาคุยกับใครมักจะมีมุขขัน และเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเขาตลอดเวลา


: เริ่มรู้ว่าหลงไหลตัวหนังสือเมื่อไหร่
ครอบครัว ของผมอยู่ในฐานะปานกลาง แต่พี่สาวเคยบอกผมไว้ว่าก่อนที่ผมจะเกิดครอบครัวเราเคยรวยมาก่อน ครอบครัวผมมีพี่น้อง 7 คน ชาย 2 หญิง 5 แล้วชีวิตผมเริ่มเหงาเมื่อพี่ชายคนโตบินไปเรียนต่อที่อังกฤษตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ผมกลายเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน ทำให้เวลาเล่นกับพี่ๆ ซึ่งเป็นผู้หญิงก็ลำบาก ผมจึงต้องมองหาโลกที่ทำให้ตัวเองสบายใจ หาทางออกให้กับตัวเอง จึงค้นพบว่าการอ่านหนังสือถือเป็นมิตรกับคนที่เหงาๆ ทำให้เกิดจินตนาการ ได้ความรู้ความคิด ผมจึงหลงไหลการอ่านหนังสืออย่างมาก


: เริ่มเข้าสู่โลกหนังสือเมื่อไหร่?
ผม ก็เหมือนเพื่อนๆ ที่จบมหาวิทยาลัยก็ต้องหางานที่ตัวเองรักทำ ก็ไปสมัครงานกับกองบรรณาธิการหนังสือ ผมโชคดีที่ได้ทำงานกับหนังสือหลายๆ เล่ม จนกระทั่งวันหนึ่งผมรู้สึกว่านิตยสารที่ทำอยู่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ผมอยากทำหนังสือให้คนอ่านชอบตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย


แนวคิด นี้เริ่มจุดประกายสุดๆ ในช่วงที่ทำงานอยู่ที่ Image แต่แนวคิดแบบนี้ใครจะไปจ้างให้ผมทำ แต่ผมก็ตัดสินใจลาออกพร้อมๆ กับเงินเก็บราวๆ 3 แสนบาท แต่บอกได้เลยว่าถ้าทำนิตยสารของตัวเองด้วยเงินแค่นี้ไม่พอแน่นอน เพราะต้นทุนการทำแต่ละเล่มต้องล้านบาทขึ้นไป


ผมเดินไปเสนอโครงการทำ นิตยสารในความคิดของผมกับนายทุน 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ แต่ถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง แต่ผมก็มีแนวคิดว่าจะต้องทำตามสิ่งที่วางไว้ เมื่อถูกปฏิเสธก็ต้องมานั่งทบทวนการทำหนังสือใหม่ ผมไม่ได้ย้อท้อที่สำคัญกลับมีแรงฮึดสู้


แรงบันดาลใจสำคัญ คือ โน๊ต อุดม แต้พานิช ซึ่งเป็นเพื่อนผม เล่าให้ฟังว่าที่อังกฤษมีผู้ชายคนหนึ่ง อาศัยอยู่อพาร์ทเม้นท์ ความคิดเหมือนโหน่งเลย ทำหนังสือทำมือทั้งเล่ม เขียนเอง จัดหน้าเอง พิมพ์เอง แล้วนำไปแจกฟรีให้กับเพื่อนร่วมในอพาร์ทเม้นท์ แจกทุกเดือน จนกระทั่งทุนหมดก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงนั่งลงมือเขียนจดหมายแล้วส่งไปยังเพื่อนร่วมอพาร์ทเม้นท์ว่าผมชอบทำ หนังสือมาก แต่ตอนนี้ทุนหมด ถ้าใครอยากได้หนังสือของผม ให้ส่งเงินมาแล้วผมจะส่งหนังสือไปให้


จากนั้นเขานำจดหมายฉบับนี้ไป สอดไว้ตามห้องในอพาร์ทเม้นท์ ปรากฏว่าทุกคนส่งเงินมาให้เขา เพราะชอบหนังสือที่เขาทำขึ้นมา นิตยสารเล่มนั้นมีชื่อว่า i-D ซึ่งโด่งดังมากในทุกวันนี้


คุณโน๊ตเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ผมเกิดแรงบันบาลใจอย่างหนึ่งว่า จริงๆ แล้วนิตยสารเล่มหนึ่งจะอยู่ได้อย่างยาวนาน ไม่ได้อยู่ที่เรื่องโฆษณา นายทุน แต่อยู่ได้จากแฟนๆ หนังสือ ผมจึงนำฐานข้อมูลรายชื่อที่เป็นสมาชิกนิตยสารที่ผมเคยทำงานอยู่ แล้วผมเขียนจดหมายไปให้พวกเขาว่าผมต้องการเงินทุน 1 ล้านบาท ผมจะระดมทุนเพื่อมาทำนิตยสารเล่มหนึ่ง ผมจะขายหุ้น 1,000 หุ้น ใครสนใจร่วมหุ้นกับผมบ้าง


ในจดหมายนั้นผมบอกหมดเลยว่าจะทำนิตยสาร อะไร แบบไหน เป้าหมายคนอ่านคือใคร ซึ่งแรกๆ ก็ฝืดมากไม่ค่อยมีใครสนใจ จนผมงัดกลยุทธ์วิธีประชาสัมพันธ์ตัวเองด้วยการให้เพื่อนๆ ในวงการสื่อลงบทสัมภาษณ์ของผม เพียงแค่ 3 เดือนหลังจากนั้นมีคนทั่วประเทศส่งเงินมาร่วมหุ้นกับผม 1 ล้านบาท


หลังจากนั้น a day ฉบับปฐมฤกษ์ที่มีชื่อว่า New Age ถือกำเนิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2543


: แนวคิด a day เป็นอย่างไร?
ผม อยากให้เป็นนิตยสารที่อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจ ให้ความประทับใจ อ่านแล้วให้ความงาม ประทับใจ ให้ความรู้สึกดีกับชีวิต อยากจะพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น สรุปแล้วเป็นนิตยสารให้ความคิดในแง่บวก


ช่วง แรกๆ ที่ a day ออกมา คนเรียกว่าเป็นหนังสือของเด็กแนว ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าเด็กแนวแปลว่าอะไร แต่ถ้าจะให้สรุปความน่าจะเป็นการหาแนวทางของตัวเองที่แตกต่างจากกระแสหลัก ซึ่งตรงกับแนวคิดของผมที่ต้องการให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เกิดจินตนาการในเชิงบวก และหลังจากนั้นตลาดของ a day กว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นนิตยสารอันดับหนึ่งมาโดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมาสำหรับกลุ่มนักศึกษา และคนที่เพิ่งเริ่มต้นในวัยทำงาน


: ที่มาของแนวคิดการทำนิตยสารรายสัปดาห์แจกฟรี a day Bulletin?
เป็น หนังสือแจกฟรีฉบับล่าสุดของคนเมืองกรุง ผมให้สโลแกนว่า The Urban Current Magazine ผมมองว่าหนังสือแจกฟรีเป็นโมเดลที่น่าสนใจ ที่น่าจะตอบโจทย์กับผู้คนในสังคมได้ เพราะทุกวันนี้คนมีเงินในกระเป๋าจำนวนเท่าเดิม แต่มูลค่าของเงินกลับลดลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นเวลาคนจะควักเงินซื้อนิตยสารสักเล่มจะคิดแล้วคิดอีก แต่ถ้ามีนิตยสารแจกฟรี มี Content ดีๆ น่าอ่าน ผมว่าคนจะให้ความสนใจ


: มองตัวเองอย่างไร?
ผม ไม่ใช่นักเขียน ผมมองตัวเองว่าเป็นบรรณาธิการนิตยสาร แต่ผมก็ชอบเขียนหนังสือ เพราะเป็นงานที่มีความสุข โดยเฉพาะเมื่อเขียนแล้วมีคนอ่านแล้วชอบงานเขียนของผม


: ประสบการณ์กับการทำงานในนิตยสารเล่มอื่นๆ?
มี ค่ามาก ผมเรียนรู้กระบวนการทำหนังสือทุกขั้นตอน ที่สำคัญผมรู้ตัวเร็วว่าตัวเองเหมาะกับอะไร ชอบทำอะไร จะปักหลักชีวิตกับอะไร ผมเคยพูดบ่อยๆ ว่างานหนังสือเป็นงานแรกและงานสุดท้ายในชีวิต เพราะเป็นงานที่ชอบมากๆ เป็นงานแห่งความสุข ผมมีความรู้สึกว่างานที่ดีจะไม่เป็นภาระ แต่ควรเป็นกิจกรรมที่เข้ากับชีวิต


: จุดช่วงวิกฤติในชีวิตการทำงาน?
ผม เป็นบรรณาธิการนิตยสารอายุ 26 ถือว่าน้อยที่สุดในเมืองไทย ชื่อ Trendy Man ในสายตาตัวเองทำได้ดี แต่อีก 2 ปีถัดมาต้องปิดตัวลงจากผลพวงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวมาก แต่ผมมองว่าถ้าคนเรามีต้นทุนที่ดี มีประสบการณ์ที่ดีจะมาช่วยเราในยามวิกฤติ


หลังจากนิตยสาร Trendy Man ปิด ผมได้รับโทรศัพท์จากคนในวงการเยอะมาก โทรมาชักชวนไปทำงานด้วย สะท้อนให้เห็นว่าผมมีต้นทุนที่ดี


ผม ได้เรียนรู้ว่าวิกฤติต่างๆ มีประโยชน์กับชีวิตของคนมากกว่าคนที่ประสบความสำเร็จ ความล้มเหลวสอนชีวิตเยอะมาก ขณะที่ความสำเร็จเหมือนกับการอวยพร การยกยอ ผมเชื่อว่าโอกาสไม่ได้มาอย่างง่ายดาย หรืออยู่ดีๆ โอกาสจะตกลงมาใส่หัวทุกคน โอกาสลอยอยู่บนอากาศแล้วคนเราต้องไปคว้ามาให้ได้ ซึ่งแต่ละคนจะมีสายตาในการมองหาโอกาสไม่เท่ากัน คนที่มีสายตาพิเศษเท่านั้นที่มองเห็นโอกาส


: ช่วงที่ล้มเหลว?
ต้อง เชื่อว่าคนเราต้องแพ้ได้ เหมือนการเล่นฟุตบอลที่ไม่มีทีมไหนที่จะชนะทุกแม็ตช์ที่ลงไปเล่น ถึงแม้ว่าวันนั้นจะเล่นดีแต่ทีมอาจจะแพ้ก็ได้ ผมเชื่อเรื่องก๊อก 2 เพราะผมเชื่อว่าคนเราทุกคนมีมากกว่า 1 ก๊อกอยู่ในตัว เพียงแต่ว่าก๊อกถัดไปจะหาเจอหรือไม่ ส่วนตัวผมตอนนี้ใช้ก๊อก 3 ก๊อก 4 แล้ว


: ชอบคิดบวก?
การ คิดเชิงบวกเป็นวิธีที่ดีกับชีวิตตัวเอง ผมว่าคนไทยน่าจะคิดบวก การคิดในแง่บวกไม่ใช่การมองโลกที่สวยงามไปหมดทุกเรื่อง แต่การคิดในแง่บวก คือ การที่มีความหวังอยู่เสมอ แม้แต่อยู่ในสภาพที่จนตรอก ซึ่งดีกับชีวิตเพราะทำให้คนเราไม่ย่อท้อ


ผมเชื่อว่าถึงแม้วันนี้จะแย่แต่วันหน้าจะดีขึ้น ไม่มีอะไรที่แย่หรือดีตลอดเวลา ขอให้มีความหวังอยู่เสมอ และทำให้เต็มที่


: หลงไหลกีฬาฟุตบอล?
ผม ชอบเล่นฟุตบอลมาก เพราะเป็นกีฬาที่ “แมน” ดี และเป็นกีฬาที่เล่นเป็นทีม การเล่นเป็นทีมให้ความสุขได้ดี เป็นการร่วมมือประสานกัน เช่นเดียวกับการทำนิตยสารที่มีทีมงานหลายสิบชีวิตอยู่เบื้องหลัง ที่สำคัญผมมองว่าโลกนี้ไม่มีคำว่า One Man Show งานทุกอย่างที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีทีมงานอยู่เสมอ


สมัยเด็กๆ ดูบอลไม่ค่อยเป็น แต่เชื่อว่าเด็กทุกคนจะเชียร์ทีมที่เก่งๆ ซึ่งตอนนั้นทีมลิเวอร์พูลเก่งมาก ผมก็เชียร์ทีมนี้แต่เมื่อเล่นเก่งเกินไป การเชียร์เริ่มหมดสนุกแล้ว ผมว่าการเล่นกีฬาต้องมีแพ้บ้าง ชนะบ่อยๆ ไม่ตื่นเต้น ผมก็เลยมองหาทีมเชียร์ทีมอื่นบ้าง ก็หันไปเจอทีมที่ใส่เสื้อสีแดงเหมือนกัน นั่นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ช่วงนั้นยังไม่เก่งก็เลยส่งใจไปช่วย สุดท้ายพวกเขาพัฒนาขึ้นมาจนเป็นสุดยอดในทุกวันนี้


ผมชอบแมนยูฯ เพราะว่าให้ความสำคัญกับการปั้นเด็กเยาวชนขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่มาโดยตลอด แม้แต่ยุคปัจจุบันพวกเขายังให้ความสำคัญกับเด็กสร้างต่อไป ซึ่งทำให้เกิดความพผูกพันกับสโมสรเหมือนครอบครัวเดียวกัน มากกว่านักฟุตบอลที่ถูกซื้อตัวเข้ามา


: มององค์กรธุรกิจแบบไหน?
องค์ กรใดๆ ก็ตาม ผู้นำองค์กรมีความสำคัญมาก ต้องมีคุณสมบัติที่ดีเพื่อที่จะนำพาองค์กรไปสู่จุดหมายได้ ต้องมีพระเดช พระคุณ มีกึ๋น บุคลิกที่มีความเป็นผู้นำ ทุ่มเท เหมือนเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน ผมว่าเป็นผู้นำครบเครื่องในสายตาของผม


: มองการเติบโตของธุรกิจอย่างไร?
ทุก วันนี้ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจมากนัก เพราะเคยมีบทเรียนกับ a day weekly ที่ผมต้องการให้ธุรกิจเติบโตอย่างมาก แต่สุดท้ายล้มเหลว แล้วผมกลับมานั่งคิดว่าธุรกิจไม่จำเป็นต้องเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ควรค่อยเป็นค่อยไป และทุกวันนี้ธุรกิจของผมเติบโตลง คือ ทำให้รากฐานมีความมั่นคง ซึ่งหลายๆ บริษัทให้ความสำคัญกับการโตขึ้น ทั้งๆ ที่พื้นฐานธุรกิจไม่แข็งแรง


: มองชีวิต คือ การลงทุนอย่างไร?
เป็น คำพูดที่ดี และเป็นประโยคที่เป็นจริงอย่างมาก ผมเชื่อว่าทุกคนมีต้นทุนในชีวิตมากบ้าง น้อยบ้าง แต่ทุกคนสามารถเพิ่มต้นทุนได้ เช่น การศึกษา ความรู้ การทำงาน สามารถเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา


ผมว่าคนที่ประสบความ สำเร็จในชีวิต เขาเลือกลงทุนได้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกจังหวะ ซึ่งเกิดจากการศึกษา สังเกต เฝ้าดู และรู้เท่าทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นทุกคนสามารถลงทุนให้กับชีวิตตัวเองได้ และแน่นอนการลงทุนจะถูก จะผิดได้ตลอดเวลา แต่การลงทุนของคนเรานั้นสามารถลงทุนได้ใหม่ๆ ตลอดเวลา


ชีวิต ไม่ได้มีข้อจำกัดว่าจะต้องหยุดการลงทุนแค่นี้ ผมเชื่อว่าคนเรามีการลงทุนได้ตลอดชีวิต ซึ่งการลงทุนครั้งสำคัญในชีวิตของผม คือ การได้ค้นพบโลกของการอ่าน ที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิต ให้ประโยชน์ ให้คุณค่ากับชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้


: มองอนาคตอย่างไร ?
ทุก วันนี้เทคโนโลยีก้าวไปเร็วมาก ดังนั้นพวกเรากำลังก้าวไปเป็น Content Provider ให้กับช่องทางอื่นๆ เช่น อินเทอร์เน็ต มือถือ หรือในรายการโทรทัศน์


โดย คอลัมน์ WEALTH MANAGEMENT ชีวิตคือการลงทุน นิตยสาร M&W

Nick Vujicic ผู้ไม่มีแขน-ขากับบทเรียน"ล้มแล้วลุก"

chinese new year Graphics


"ในชีวิตนั้น ระหว่างทางคุณอาจจะล้มลงเช่นนี้ แล้วคุณจะทำอย่างไรเมื่อตัวเองล้มลง ก็ลุกขึ้นใช่ใหม ทุกคนรู้ว่าทำอย่างไรที่จะลุกขึ้น

... แต่ผมอยากจะบอกคุณอย่างหนึ่งว่ามีบางเวลาในชีวิตเมื่อคุณผิดพลาด ผิดหวัง ล้มเหลว จนคุณรู้สึกหมดกำลังที่จะลุกขึ้นสู้ต่อไป แล้วอย่างนั้นคุณจะยังมีความหวังอะไรเหลืออยู่อีกหรือ

ผมอยากจะบอกพวกคุณว่าผมล้มหน้าคว้ำลงตรงนี้ ผมไม่มีแขน ไม่มีขา ซึ่งมันก็น่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ที่ผมจะลุกขึ้นมาอีก แต่ไม่เลย ผมจะพยายามเป็น 100 ครั้งที่จะลุกขึ้นมาให้ได้ แล้วมีการต่อสู้ใดบ้างใหมที่เราจะแพ้ตลอดทั้ง 100 ครั้งเลย

แต่ถ้าผมล้มลงและก็ถอดใจที่จะลุกขึ้นต่อ พวกคุณคิดว่าผมจะมีวันลุกขึ้นมาได้อีกหรือ ไม่มีวันแน่ แต่ทุกครั้งที่ผมล้ม ผมจะพยายามอีก และก็อีก และก็อีก

ผมอยากให้พวกคุณทุกคนได้รู้ว่าทุกอย่างมันไม่ใช่จุดจบ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเผชิญกับมันแบบใหน และถ้าคุณพร้อมที่จะเผชิญกับมันอย่างเข้มแข็งแล้วคุณก็จะมีพลัง พลังที่พร้อมจะลุกขึ้นมาใหม่ แบบนี้"



"ถ้าผมล้มแล้วลุกขึ้นได้ คุณก็สามารถทำได้"

“The strength to get up: Are you going to finish strong”

Nick Vujicic



But honestly, along the way you might fall down like this. So what do you do when you fall down, get back up, everybody know how to get back up, because if I start walking I'm not gonna get anywhere.

"But I'll tell you there is sometime in life when you've fallen in, you feel like you don't have the strength to get back up. Do you think you have hope because I'll tell you, I'm down here, face down & I have no arms, no legs. It should be impossible for me to get back up, but it's not. You see, I'll try 100 times to get up, any fight fell 100 times? If I fell and I give up, do you think that I would ever gonna get up, no! But if I fell, I try again, and again, and again. But I just want you to know that it's not the end. It's matter how you ganna finish. Are you ganna finish strong and you will find that strength to get back up like this.

อีกไม่กี่ปีข้างหน้ามหาอำนาจที่แท้จริง คือ จีน

chinese new year Graphics



อีกไม่กี่ปีข้างหน้ามหาอำนาจที่แท้จริง คือ จีน จากงานเขียนประสบการณ์ในแดงมังกร ของ ทองใบ วงศ์อินจันทร์ ตอนหนึ่งที่พูดถึงประเทศจีนว่า....... แนวทางการพัฒนาประเทศ ของจีน “ คิดใหม่ ทำใหญ่ให้สมกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนตะวันออก ” ผู้เขียนขอทำนายไว้เลย ณ ที่นี้ว่าในอนาคตประมาณ 50 ปีข้างหน้ามหาอำนาจที่แท้จริงของโลก คือ ประเทศจีนแน่นอน ปัจจัยส่งเสริม ตามความคิดเห็นของผู้เขียนพอสรุปได้ตรงนี้
1. ประชาการมาก วินัยดี มีความอดทน แถมมีแต่ตนแข็งแรง ผู้เขียนสังเกตจากคำกล่าวไกด์ที่ว่าในประเทศจีนหาคนอ้วน คนลงพุง หาดูไม่มีเลย คงเป็นเช่นนั้นจริง 5 วัน ในมหานครปักกิ่งของผู้เขียนไม่พบเลยจริง ๆ
2. พื้นที่กว้างขวาง
3. ทรัพยากรมาก แค่หินหยกอย่างเดียวก็มีราคาพอ ๆ กับทองคำแถมมีมากด้วย สมุนไพรเยี่ยมรักษาโรคได้แทบทุกโรคไม่ได้นำเข้า ขายไปได้ทุกมุมโลกที่คนจีนเข้าไปถึง ชาวจีนดื่มชาทุกวันรักษาโรคได้หลายชนิด เจ็บเล็กเจ็บน้อยจับฝังเข็มหายสบายไปเลย ไม่ต้องพึ่งพายาฝรั่งเซฟเงินของชาติได้เยอะที่เดียว
4. ประชากรเชื้อสายจีนกระจายไปทั่วโลก นักธุรกิจทั้งนั้น ในอนาคตพวกนี้แหละจะกลับไปลงทุนที่ประเทศจีน เมื่อธุรกิจใหญ่โตมีกำไลมหาศาล ขอถามท่านผู้อ่านหน่อยว่าเขาเหล่านั้นน่าจะอยู่อย่างถาวรที่ดินแดนประเทศใด
5. แหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นยิ่งใหญ่ตระการตาทั้งนั้น ขายกินได้ทั้งชาติ ไม่ต้องมากเอาแค่คนจีนโพ้นทะเลกลับไปเยี่ยมมาตุภูมิเท่านั้นก็มากพอแล้ว
6. วิทยาการไม่แพ้ใคร ถึงแพ้ฝรั่งก็ไม่กี่ก้าว
7. ถ้าโลกนี้สงบไม่มีสงคราม อเมริกาขายอาวุธยุทโธปกรณ์ไม่ได้ถ้ายังใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเหมือนทุกวันนี้อีกไม่กี่วันมันก็จน ถามหน่อยว่าชาติที่รวยแทนคือใคร
8. คนเชื้อสายจีนกตัญญูต่อบรรพชนต่อถิ่นมาตุภูมิ มีความรักความห่วงใยต่อญาติพี่น้องแทบทุกรายกลับไปเยี่ยมญาติและนำเงินไปใช้หนี้ ซื้อของจำเป็นให้เป็นการนำเงินเข้าประเทศอีกทางหนึ่งปีละไม่น้อยทีเดียว
9. ถามท่านผู้อ่านอีกข้อว่า “ ประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุดในโลก ค่าแรงงานถูก คือประเทศ………” เท่านี้ก็มากพอที่จะส่งเสริมให้ประเทศจีนเป็นมหาอำนาจที่แท้จริงของโลกภายใน 50 ปีข้างหน้า

โดย ทองใบ วงศ์อินจันทร์

5 เหตุผล ทำตลาดเกิดใหม่ "หอม"

5 เหตุผล ทำตลาดเกิดใหม่ "หอม"

chinese new year Graphics



“กลุ่มตลาดเกิดใหม่โลก” หรือ “Global Emerging Market : GEM” เป็นกลุ่มประเทศที่ได้รับการจับตาจากโลกมากที่สุดในปัจจุบัน ไม่เฉพาะจำนวนประชากรที่มีรวมกันประมาณ 3.9 พันล้านคนเท่านั้น แต่เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าตลาดอื่นในโลกอีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (Emerging Asia) ตลาดเกิดใหม่ในละตินอเมริกา (Emerging Latin) หรือตลาดเกิดใหม่ในยุโรปตะวันออก (Emerging Eastern Europe)

ล้วนมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของเศรษฐกิจที่สูง ซึ่งถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของกลุ่มตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ ยุโรป หรือ ญี่ปุ่น

จึงไม่น่าแปลกใจที่การลงทุนในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่โลกนี้ จัดเป็นหนึ่งในรูปแบบการลงทุนที่อยู่ในกระแสการลงทุนหลักของโลกในช่วง 3-5 ปีข้างหน้านี้

ทำไมกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกจึงมีความน่าสนใจ Fundamentals สัปดาห์นี้ได้รวบรวมเอา 5 เหตุผลที่น่าสนใจมานำเสนอ



ดุลบัญชีเดินสะพัดแกร่ง-บริษัทบริหารดี

ด้วยความมีเสน่ห์ของประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่โลกนี้เอง จึงทำให้มี บลจ.หลายแห่งได้นำเสนอกองทุนที่ไปลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้ก็ตาม วันนี้เราลองมาฟังทรรศนะจากผู้รู้ ถึงเหตุผลที่ทำให้กลุ่มตลาดเกิดใหม่มีความน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนทั่วโลก

@ ตลาดเกิดใหม่จีดีพีแกร่ง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ "มร.คริสโตเฟอร์ หว่อง" ผู้จัดการฝ่ายการลงทุน อเบอร์ดีน แอสเซท เมเนเจอร์ส เอเชีย ลิมิเต็ด บอกว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วทั้ง 7 (G-7) ปี 2007 เฉลี่ยอยู่ที่ 2.3% และคาดว่าในปี 2008 จะลดลงเหลือ 1.6% เช่นเดียวกับเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะชะลอตัวลงเช่นเดียวกัน จากที่เคยขยายตัว 5.2% ในปี 2007 จะลดลงเหลือ 4.8% ในปี 2008

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่คาดว่าจะขยายตัวในระดับที่สูงต่อเนื่องจากปี 2007 อยู่ที่ 8.3% จะลดลงเล็กน้อยเหลือ 7.9% ในปี 2008 แต่ยังถือว่าเป็นการเติบโตในระดับที่สูงและแข็งแกร่งอยู่ ถึงแม้ว่าช่วงนี้เกิดความไม่แน่นอนในโลกขึ้นจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัว โดยการเติบโตของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและละตินอเมริกาเป็นหลัก ในเอเชียจีนและอินเดียยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตที่สำคัญ ในขณะที่การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจมหภาคในอเมริกาใต้สร้างโอกาสในการลงทุนให้ภูมิภาคนี้

“ในช่วง 3-5 ปี ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากกว่า 20% ต่อปี เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงกลุ่มประเทศเหล่านี้ย่อมได้รับผลกระทบบ้าง ซึ่งการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนอาจจะปรับตัวลดลงจากต้นทุนที่แพงขึ้น แต่ตัวเลขการเติบโตของกำไรก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงแม้ว่าจะเป็นตัวเลขเพียงหลักเดียวก็ตาม ในจังหวะนี้การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมา จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทเหล่านี้จะได้มีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงการบริหารให้เข้ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถึงจุดนั้นเมื่อการบริหารเริ่มนิ่งเราจะเห็นการเติบโตของกำไรที่ดีขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อราคาหุ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในอนาคตอย่างแน่นอน”

@ ถูกประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง

การเติบโตของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ยังถูกประเมินไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง ถ้าดูถึงขนาดของเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25% ของเศรษฐกิจโลก แต่เมื่อมองในมิติของตลาดหุ้นแล้วกลุ่มตลาดเกิดใหม่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 8% ของดัชนี MSCI AC World เท่านั้น ซึ่งในอนาคตมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นอีกมาก เพราะสัดส่วนของตลาดหุ้นของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ยังไม่สะท้อนถึงขนาดเศรษฐกิจที่มีอยู่จริง อีกทั้งระดับราคาหุ้นก็ถูกประเมินไว้ต่ำกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ สัดส่วนหุ้นของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในดัชนี MSCI AC World ในปัจจุบันยังเป็นภาพที่สะท้อนถึงอดีตที่ผ่านมาแล้วแต่ไม่ได้แสดงถึงแนวโน้มในอนาคตของหุ้นตลาดเกิดใหม่แต่ประการใด

“ถ้ามองจากขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในโลกแล้ว โอกาสที่ตลาดหุ้นของกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะเติบโตขึ้นเพื่อมีสัดส่วนที่เหมาะสมในดัชนี MSCI AC World ยังมีอยู่อีกมากทีเดียว”

@ ดุลบัญชีเดินสะพัดแกร่ง

มร.คริสโตเฟอร์ หว่อง ยังบอกอีกว่า เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กลุ่มตลาดเกิดใหม่โลกมีความน่าสนใจจากการปฏิรูปมานานนับสิบปีภายหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจทำให้รัฐบาลมีการควบคุมงบประมาณ การเงินการคลังของประเทศก่อให้เกิดดุลการค้าและสถาบันการเงินที่มีความแข็งแกร่ง จนส่งผลให้ปัจจุบันกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกอยู่ในสถานะที่เกินดุลสุทธิในทุกทาง

หากเปรียบเทียบดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐเทียบกับกลุ่มตลาดเกิดใหม่ จะพบว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่สหรัฐเองมีแนวโน้มที่จะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มตลาดเกิดใหม่ในปัจจุบันจึงเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตเมื่อสิบปีก่อนมาจากประเทศผู้กู้มาเป็นผู้ให้กู้ มีรัฐบาลที่มั่นคง มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ มีปัจจัยด้านต้นทุนที่ต่ำ เหล่านี้เป็นปัจจัยที่น่าสนใจต่อการลงทุนและนำไปสู่วงจรแห่งการเติบโต โดยมีความมั่งคั่งและการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวขึ้น ส่งผลให้มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น พร้อมทั้งมีความยั่งยืนและสมดุลมากขึ้นด้วย

ประกอบกับมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง จากปี 2006 ที่มีเม็ดเงินไหลเข้า 22,384.70 ล้านดอลลาร์ ได้เพิ่มขึ้นเป็น 40,818.80 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะยังคงไหลมาในตลาดเกิดใหม่ต่อเนื่องในปี 2008 นี้ แม้ว่าตัวเลขอาจจะลดลงบ้างเล็กน้อยก็ตาม

กระแสเงินไหล (Fund Flow) ที่ไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่นั้น มีแนวคิด 2 ด้าน หนึ่งมองว่ากระแสเงินไหลเข้าเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2003 แล้ว ดังนั้น นักลงทุนกลุ่มหนึ่งก็จะมีกำไรจากการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ไปพอสมควรแล้ว เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในสหรัฐหรือยุโรปจากเรื่องซับไพร์ม ซึ่งทำให้เขามีความจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหา เงินลงทุนบางส่วนก็จะถูกขายทำกำไรออกมา แต่ก็เป็นการขายทำกำไรเพื่อนำเงินลงทุนกลับไปมากกว่า เพราะเขามีต้นทุนการลงทุนที่ค่อนข้างต่ำ นี่อาจจะส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนที่จะไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ไปบ้าง แต่นักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งก็ต้องมองหาโอกาสการลงทุนอยู่ เช่น นักลงทุนจากตะวันออกกลางที่มีความมั่งคั่งขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น เมื่อไม่รู้ว่าจะไปลงทุนที่ไหนโอกาสหนึ่งที่เขาจะเข้ามาลงทุนก็คือกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ซึ่งจะทำให้แนวโน้มของเงินทุนไหลเข้าในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในระยะยาวยังคงเป็นบวกอยู่ ส่งผลให้เงินทุนสำรองของกลุ่มตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่มีอยู่

นอกจากนี้ สำนักจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้มีการปรับขึ้นอันดับเครดิตภาครัฐในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อย่างต่อเนื่องทำให้เครดิตรัฐบาลกลุ่มตลาดเกิดใหม่ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้ต้นทุนของเงินทุนต่ำลง ช่วยกระตุ้นการลงทุนได้ดีขึ้นกว่าเดิม ในปัจจุบันกลุ่มตลาดเกิดใหม่เป็นทั้งผู้รับเงินทุนและผู้จัดหาเงินทุนให้โลกผ่านกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Severeign Wealth Fund : SWF)

@ บริษัทมีการบริหารที่ดี

ไม่เพียงเท่านี้ มร.คริสโตเฟอร์ หว่อง ยังมองว่าบริษัทในกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีระบบบริหารจัดการที่ดีทำให้บริษัทสร้างเงินสดได้เพิ่มขึ้น โดยมีกระแสเงินสด (Free cash flow) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมาและสามารถนำไปชำระหนี้ได้ และยังมีเงินสดเหลือหลังจากที่จ่ายหนี้ไปแล้ว จนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้เงินทุนอย่างชาญฉลาดนั่นเอง โดยกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกมีแนวโน้มของอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิลดลงในทุกภูมิภาค อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิของตลาดเกิดใหม่ในเอเชียที่ระดับ 15.6% ในปี 2007 จะลดลงเหลือ 11.1% และ 6.0% ในปี 2008 และ 2009 ตามลำดับ เช่นเดียวกับตลาดเกิดใหม่ในยุโรปตะวันออกที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิในปี 2007 อยู่ที่ 16.9% จะลดลงเหลือ 14.0% และ 9.8% ในปี 2008 และ 2009 ตามลำดับ

ด้านตลาดเกิดใหม่ในอเมริกาใต้และอเมริกากลางที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิในปี 2007 อยู่ที่ 40.2% จะลดลงเหลือ 32.7% และ 34.0% ในปี 2008 และ ปี 2009 ตามลำดับ ส่วนตลาดเกิดใหม่ในแอฟริกาที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิในปี 2007 อยู่ที่ 28.9% จะลดลงเหลือ 21.1% และ 12.2% ในปี 2008 และ ปี 2009 ตามลำดับ ในขณะที่ตลาดเกิดใหม่ในตะวันออกกลางที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิในปี 2007 อยู่ที่ 214.6% จะลดลงเหลือ 172.5% และ 181.2% ในปี 2008 และ ปี 2009 ตามลำดับ

นอกจากนี้ ทรัพย์สินของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ยังมีความหลากหลายมาก ในขณะที่หลายประเทศส่งออกสินค้าไปยังตลาดเดียวกันและเป็นคู่แข่งกันเอง แต่อีกหลายประเทศที่มีความหลากหลายของประเภทธุรกิจกลับไม่มีผลกระทบต่อกัน เช่น ปัจจัยลบต่อธนาคารแห่งหนึ่งในเม็กซิโก กลับมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อธุรกิจอื่นในประเทศอื่น เช่น แทบไม่มีผลต่อซูเปอร์มาร์เก็ตในแอฟริกาใต้ หรือบริษัทเหมืองแร่ในรัสเซีย

“การที่ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา จึงถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการที่จะเข้าไปลงทุน ถ้ามองจากพื้นฐานราคาที่ปรับตัวลงมาทำให้ความเสี่ยงลดลง เมื่อเทียบกับโอกาสในการเติบโตในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้าต่อจากนี้ จึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะเข้าไปลงทุน"

@ มูลค่าสมเหตุสมผล

กลุ่มตลาดเกิดใหม่ในแต่ละภูมิภาคเปิดโอกาสให้ลงทุนในหุ้นดีที่มีมากกว่า 800 หุ้น มีสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เฉลี่ย 14-15 เท่า มีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่สูง 17-25% ด้าน "อลัน แคม" กรรมการผู้จัดการ บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การลงทุนในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกยังมีความน่าสนใจแล้วแต่ว่าผู้ลงทุนชอบภูมิภาคใด ในส่วนของตลาดเกิดใหม่ในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกน่าสนใจไม่แพ้ภูมิภาคอื่น เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงจากผลกระทบของปัญหาซับไพร์ม เห็นได้จากสัดส่วนราคาต่ำกำไรสุทธิ (P/E) ของหุ้นในกลุ่มประเทศดังกล่าวขยับลงมาอยู่ที่ระดับ 6-8 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าปีที่แล้วค่อนข้างมาก จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าไปลงทุนในระยะยาว

ทั้งนี้กลุ่มตลาดเกิดใหม่หลายประเทศไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐอเมริกามากนัก เพราะเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่มีความแข็งแกร่งและขับเคลื่อนจากการบริโภคและการลงทุนในประเทศมากขึ้น กลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกมีประชากรรวมกันกว่า 3,900 ล้านคน มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศรวมกัน 2 ล้านล้านดอลลาร์ มีจีดีพีรวมกันประมาณ 8 ล้านล้านดอลลาร์

“นอกจากนี้ กลุ่มประเทศเหล่านี้ลดการพึ่งพาเศรษฐกิจสหรัฐลงตามลำดับ เช่น จีนที่มีอัตราการส่งออกไปสหรัฐเพียง 22% อินเดียส่งออกไปสหรัฐ 30% ไทยเองที่เคยมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐสูงถึง 80% ในปี 1998 ปัจจุบันลดลงเหลือ 26% เท่านั้น โดยกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีการส่งออกไปกลุ่มประเทศยุโรป และประเทศเอเชียด้วยกันมากขึ้น นี่จึงทำให้ตลาดเกิดใหม่ในโลกยังมีความน่าสนใจ”

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลหลักทั้ง 5 ประการ ที่ทำให้ประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่โลกมีความน่าสนใจในมุมมองของนักลงทุนทั่วโลก

โดย สรวิศ อิ่มบำรุง

กฎเหล็กของการออม

chinese new year Graphics



เคยแปลกใจไหมว่าทำงานมาตั้งหลายปีแล้วทำไมเก็บเงินไม่ได้เลย เคยกลัวบ้างไหมว่าวันหนึ่งหากมีปัญหาตกงานขาดรายได้ หรือเจ็บป่วยต้องใช้เงินในการรักษาพยาบาลจะทำอย่างไร? ยังมีอีกไหมที่ทำงานมีเงินเดือนแล้วแต่ยังแบมือขอเงินพ่อแม่ทุกเดือน แต่งงานมีครอบครัวแล้วแต่ยังต้องพึ่งพาพ่อแม่ญาติพี่น้องเรื่องเงินตลอดเวลา เคยแปลกใจไหมว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น คำตอบง่ายๆ คือ ไม่ใส่ใจเรื่องการออม ไม่เห็นความสำคัญของการออม รู้สึกว่าการออมทำให้ชีวิตลำบาก คิดว่าเงินเดือนน้อยออมไม่ได้ พ่อแม่ร่ำรวยเลยไม่รู้จะออมไปทำไม รอเงินเดือนมากหน่อยแล้วค่อยออม ฯลฯ นี่คือสัญญาณอันตรายทางด้านการเงินในอนาคตของคนที่มีความคิดดังกล่าว

หาเงิน ออมเงิน ใช้เงิน หลายคนทำได้เพียงสองข้อคือ หาเงินและใช้เงิน ไม่เคยสัมผัสคำว่าออมเงิน คือ เป็นคนมองโลกแง่ดีมากๆ มีงานทำมีเงินเดือนทุกเดือน ทำไปเรื่อยๆ เงินเดือนก็จะเพิ่มมากขึ้น แต่ลืมมองอีกด้านหนึ่งว่าเราก็ต้องอายุมากขึ้นทุกวันอาจเจ็บป่วยไม่สามารถทำงานได้ หรือบริษัทมีปัญหาอาจลดพนักงาน เราก็มีสิทธิตกงานได้ งานใหม่ก็ใช่ว่าจะหาได้ทันควัน ช่วงนั้นจะทำอย่างไรถ้าไม่มีเงินเก็บไว้บ้าง วงจรของชีวิตคนเราจะไปอีกไกล และตลอดเส้นทางเงินเป็นปัจจัยสำคัญพอสมควรทีเดียวที่จะพาชีวิตเราดำเนินไปอย่างมีความสุข ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรอ เรามาตัดสินใจออมกันตั้งแต่วันนี้ดีกว่า ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นการออมในขณะที่ยังมีรายได้อยู่ แต่อาจจะต้องหนักหน่อยกว่าจะถึงเป้าหมายหากเริ่มช้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เริ่ม และเพื่อให้เราบรรลุเป้าหมายการออมคงต้องมีกฎเหล็กกันหน่อยเพื่อเป็นกติกาช่วยให้เราไปถึงดวงดาว

1. บอกตัวเองให้เริ่มต้นการออมให้เร็วที่สุด เช่น เมื่อเริ่มทำงานได้รับเงินเดือนเดือนแรก ควรกำหนด แผนการออมและเป้าหมายเงินออมที่ต้องการ เพราะเรามีเวลาการออมประมาณ 38 ปีเท่านั้น

2. บอกตัวเองให้เก็บก่อนใช้ แบ่งเงินให้ดีจะออมเท่าไร? ต่อเดือน กำหนดวงเงินให้ ชัดเจน และบริหารเงินที่เหลือให้เพียงพอใช้จ่าย

3. บอกตัวเองให้ออมให้ได้มากที่สุด เพื่อเพียงพอสำหรับอนาคตและชีวิตหลังเกษียณ

4. บอกตัวเองให้ออมอย่างมีวินัยและสม่ำเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะไม่แก้ปัญหาด้วยการหยุดการออม

5. บอกตัวเองให้เลือกเครื่องมือการออมให้เหมาะสม เพื่อให้เราบรรลุเป้าหมายการออมได้ทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว

6. บอกตัวเองจะไม่ก่อหนี้ที่เกิดจากการใช้จ่ายเกินตัว ระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายให้เหมาะสม

7. บอกตัวเองว่าจะไม่ทำตัวให้เป็นภาระของคนอื่นในเรื่องการเงิน

จริงๆ แล้วกฎเหล็กทั้ง 7 ข้อนั้น เปรียบเสมือนคำมั่นสัญญาที่เราให้ไว้กับตัวเองเพื่อให้เราบรรลุเป้าหมายในการออม หากเราปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเราก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่เราตั้งไว้ได้ไม่ยาก แต่หากเราไม่ใส่ใจปฏิบัติตามโอกาสไปถึงดวงดาวก็คงยาก ประโยชน์จากการออมไม่ได้ตกอยู่ที่ใคร เป็นประโยชน์ของเราเองทั้งนั้น จะเริ่มออมได้หรือยัง? คงต้องถามตัวเอง.

http://money.impaqmsn.com/contentid10444ch244.html

Link-Seed

  • Link-Seed - ผมได้รวบรวมลิงค์ "การเงิน-การลงทุน" ที่ผมสนใจมาแปะเอาไว้ในบล็อก Link-Seed เพื่อเป็นเครื่องมือในการหาข้อมูลข่าวสาร และนำมาพิจารณาการลงทุนอีกทีหนึ่ง เพื่อนๆ ...
Custom Search
 
Financeseed Copyright © 2009 Blogger Template Designed by Bie Blogger Template