วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความเสี่ยง!...ครึ่งปีหลัง ลงทุนยังไงให้ได้ผลตอบแทนสวย

chinese new year Graphics


จากความกังวลต่อวิกฤติหนี้ยุโรป ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและยังคงมีความผันผวน ดังนั้น ในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 นี้หลายฝ่ายมองว่ายังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้เดิม เนื่องจากปัญหาหนี้ในประเทศยุโรป ซึ่งธนาคารกลางยุโรปเองได้ออกมาเตือนว่า ปัญหาหนี้ยุโรปยังไม่จบ และอาจเกิดปัญหาหนี้ระลอก 2 ในอีก 18 เดือนข้างหน้าอีกด้วย แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐจะสนับสนุนการฟื้นตัวก็ตาม

ขณะที่ทวีปเอเชียและตลาดเกิดใหม่ ถึงแม้จะเป็นกลไกสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในรอบนี้ด้วย แต่ยังมีความเสี่ยงอยู่โดยเฉพาะความกังวลของนักลงทุนต่อการเกิดฟองสบู่อสังหาฯในจีนกับการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย

มองแบบนี้แล้ว เห็นแต่ความเสี่ยงรอบกาย...แต่ในมุมมองของผู้รู้ และผู้บริหารกองทุนรวม เขาจะประเมินทิศทางการลงทุนอย่างไรบ้างในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือนี้ ตบท้ายด้วยคำแนะนำดีๆ ว่า การลงทุนอะไรที่จะทำให้เราสามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีได้ต่อไปในอนาคต...

เริ่มกันที่ ทนง พิทยะ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ทหารไทย จำกัด บอกว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นค่อนข้างได้ดีและผ่านจุดที่เลวร้ายไปแล้ว โดยเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้จากการส่งออก แม้จะไม่สูงเมื่อเทียบกับก่อนเกิดวิกฤต แต่ภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังขึ้นอยู่กับการสร้างความมั่นใจ เนื่องจากมองว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองอาจส่งผลต่อนักลงทุนหน้าใหม่ และภาคการท่องเที่ยวของไทย

"ตอนนี้นักเศรษฐศาสตร์หลายราย ไม่อยากเห็นการเมืองบั่นทอนเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทางการเมืองยังต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งผมเองก็อยากให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว และกลับมาปกติสุข เพราะถ้ามองภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 1 กระเตื้องขึ้นค่อนข้างดี จึงมั่นใจได้ว่าผ่านปากเหวไปได้"

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในครึ่งปีหลังก็เห็นสัญญาณปรับขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะอยู่ระดับ 3-4% และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 2% ถือว่าเป็นสัญญาณมีแนวโน้มที่ ธปท.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 3 นี้

สำหรับกรณีการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนของข้าราชการ มองว่าเป็นแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นได้ แต่เชื่อว่า ธปท.จะดูแลเงินเฟ้อได้ดี ส่วนเงินเฟ้อทั่วโลกขณะนี้ยังคาดเดาได้ยาก เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีปัญหาอยู่

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการลงทุนมีสูงขึ้น เพราะตลาดเงินส่วนใหญ่อยู่ประเทศยักษ์ใหญ่ ดังนั้น นักลงทุนควรกระจายการลงทุน พร้อมแนะนำลงทุนกองทุนทองคำ หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ ที่เห็นว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

สมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) บอกว่า การลงทุนในครึ่งปีหลัง ในระบบยังมีสภาพคล่องล้นสูงอยู่ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยไม่น่าจะปรับขึ้นแรงในช่วงระยะ 2 ปีจากนี้ ดังนั้น นักลงทุนจะเลือกลงทุนกันมากขึ้น โดยตราสารหนี้หรือพันธบัตรอายุ 1-1 ปีครึ่งจะได้รับความน่าสนใจมากกว่า

ส่วนกองทุนพันธบัตรเกาหลีคาดว่าจะมีเงินไหลเข้าน้อยลง คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังคงจะยากที่จะผลักดันให้กองทุนรวมทั้งอุตสาหกรรมเติบโตไปถึงเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 20% แต่ในส่วนของบริษัทเชื่อว่าสามารถโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 20%

ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) บอกว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยครึ่งปีแรกมีอัตราการเติบโตที่ดี สังเกตได้จากตัวเลขการเติบโตภาคส่งออกซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเพิ่มถึง 42% ขณะที่ในช่วง 5 เดือนแรกของปีมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 35% และประมาณการว่า รายได้ที่มาจากภาคการส่งออกของปี 2553 จะกลับไปใกล้เคียงกับตัวเลขรายได้ที่มาจากภาคการส่งออกปี 2551 คือที่ 170,000 ล้านบาท

ส่วนในครึ่งปีหลังไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงทั้งจากต่างประเทศที่มากขึ้น การเมืองในประเทศ และปัญหาภัยแล้ง ทำให้เชื่อว่าตัวเลขอัตราการเติบโตของจีดีพีช่วงครึ่งปีหลังจะต่ำกว่าตัวเลขอัตราการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกแน่นอน แต่โดยรวมแล้วจีดีพีของไทยทั้งปีน่าจะขยายตัวอยู่ที่ 4.3-5.8%

สำหรับปัจจัยต่างประเทศ นอกจากปัญหาหนี้ของยุโรปที่ทำให้การกำกับดูแลธนาคารในสหรัฐฯและยุโรปเข้มขึ้น ทำให้เงินทุนไหลเวียนน้อยลงแล้ว ก็คือปัญหาการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง ซึ่งเป็นผลกระทบจากปัญหาน้ำมันรั่วจากแท่นขุดเจาะของบีพีในอ่าวเม็กซิโก ส่งผลกระทบต่อกองทุนหรือสถาบันที่เข้าไปถือหุ้นในบีพี และยังทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น

ประภาส ตันติพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด บอกว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมองว่าการลงทุนยังมีโอกาสที่ดีอยู่สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ หรือคอมอดิตี้ โดยเฉพาะการลงทุนในทองคำทองคำที่สามารถคาดหวังผลตอบแทนได้ เนื่องจากหลังเกิดวิกฤตหนี้ในยุโรปได้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรงและเกิดความผันผวนต่อเนื่อง แต่หากหลังจากนี้ปัญหาหนี้ในยุโรปไม่ปรากฏตัวเลขที่เลวร้ายลงกว่าที่ตลาดคาดการณ์อีก ก็จะสะท้อนว่าทิศทางตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวเป็นขาขึ้น

ทั้งนี้ การลงทุนในน้ำมันและพันธบัตรมีความน่าสนใจน้อย เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่แข็งแกร่ง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันยังไม่สูงมากนัก โดยคาดราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยแม้จะมีการปรับขึ้น 0.25-0.5% แต่เชื่อว่าผลตอบแทนของพันธบัตรยังคงอยู่ระดับต่ำ ขณะที่การลงในทองคำนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามจังหวะ เพราะหากปัญหาหนี้ในยุโรปยังคลุมเครือไม่คลี่คลายลง นักลงทุนจะยังลงทุนทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงทำให้ราคาทองมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก

ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สรุปสถานการณ์น้ำมันในช่วงครึ่งปีแรก และคาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันในช่วงครึ่งปีหลัง

chinese new year Graphics


ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในช่วงครึ่งปีแรกมีความผันผวนในกรอบ 67 - 87 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 79 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (จากราคาเฉลี่ย 52 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในช่วงครึ่งแรกของปี 52) โดยราคาปรับตัวลดลงในช่วงต้นปี หลังจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อทำความร้อนเริ่มปรับลดลงหลังฤดูหนาวสิ้นสุดลง ประกอบกับ ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซและนโยบายการเงินตึงตัวของจีน ต่อมา ราคาน้ำมันเริ่มปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้ง จากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกปรับเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงอีกครั้งในเดือน พ.ค. เนื่องจาก ปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรปที่ทวีความรุนแรงขึ้น และปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่คุชชิ่ง ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ประมวลสถานการณ์และปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งแรกของปี 2553
- เศรษฐกิจโลก: เศรษฐกิจโลกได้กลับมาขยายตัวอีกครั้ง เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโต 3.0% ในไตรมาส 1 โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรม ตลาดบ้านและตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 1 ขยายตัวมากถึง 11.9% แต่ก็มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเติบโตลดลง หลังรัฐบาลจีนนำมาตรการเงินตึงตัวมาใช้ เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ ในขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปยังคงเกิดปัญหาต่อเนื่องจากปัญหาวิกฤตหนี้ในยุโรปที่ขยายตัวเป็นวงกว้าง จากกรีซไปยังโปรตุเกสและสเปน จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากรัฐบาลต้องนำนโยบายการลดรายจ่ายในประเทศมาใช้เพื่อลดหนี้สาธารณะในประเทศ
- ความต้องการใช้น้ำมัน: ความต้องการใช้น้ำมันของโลกกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น โดยสำนักงานพลังงานสากลประมาณการความต้องการใช้น้ำมันโลกในปีนี้ที่ 86.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้น 1.68 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อน โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากทางภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลาง ส่วนการใช้น้ำมันของสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งสินค้า ที่มีการใช้ปรับเพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่การใช้น้ำมันในยุโรปและญี่ปุ่นยังคงอยู่ในระดับต่ำ
- ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบและปริมาณน้ำมันคงคลัง: โอเปคยังคงโควตาการผลิตน้ำมันดิบไว้ระดับเดิมที่ 24.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ปริมาณการผลิตจริงค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้น้ำมันของโลก ในขณะที่ โรงกลั่นในสหรัฐฯ ยุโรปและญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ยังคงกำลังการผลิตไว้ที่ระดับต่ำ จึงส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังทั่วโลกในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับสูง ส่วนปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อทำความร้อนในช่วงฤดูหนาวและจากภาคกอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
- การเข้ามาเก็งกำไรของนักลงทุน: นักลงทุนกลับเข้ามาเก็งกำไรในตลาดน้ำมันอีกครั้ง จากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โดยเฉพาะในช่วงต้นเดือน พ.ค. ที่ปริมาณการเข้ามาซื้อสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนี้ยุโรปที่ค่อยๆ ทวีรุนแรงขึ้น และความกังวลเกี่ยวกับกฎหมายปฏิรูประบบการเงินของสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนเทขายน้ำมันและหุ้น และหันกลับไปลงทุนในตลาดเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าแทน ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบกับเงินยูโร
- ปัจจัยอื่นๆ: เหตุการณ์ปิดสนามบินยุโรปในเดือน เม.ย. จากปัญหาเถ้าละอองภูเขาไฟในไอร์แลนด์ ส่งผลให้ปริมาณการใช้น้ำมันอากาศยานปรับลดลงประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามมาด้วยการระเบิดของแท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทบีพี ในบริเวณอ่าวเม็กซิโก ซึ่งทำให้เกิดน้ำมันรั่วครั้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ รัฐบาลสหรัฐฯ จึงสั่งห้ามการขุดเจาะน้ำมันในบริเวณชายฝั่งเป็นเวลา 6 เดือน ทำให้ตลาดวิตกเกี่ยวกับปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในอนาคตของสหรัฐฯและของโลก ถ้าประเทศอื่นๆ นำมาตรการการห้ามการขุดเจาะน้ำมันไปบังคับใช้

แนวโน้มราคาน้ำมันในช่วงครึ่งหลังของปี 2553
ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยครึ่งปีหลังน่าจะอยู่ที่ประมาณ 80-85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้น้ำมันโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยราคาน้ำมันดิบยังคงถูกดดันจากปัญหาหนี้ยุโรปและนโยบายการเงินที่ตรึงตัวขึ้นของจีน อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ถ้าปัญหาหนี้ยุโรปคลี่คลายลง หรือ ฤดูกาลเฮอริเคนของสหรัฐฯ ในปีนี้มีความรุนแรงตามที่ได้มีการพยากรณ์ไว้ และได้มีผลกระทบต่อปริมาณการผลิตน้ำมัน

ปัจจัยที่น่าจับตามองในช่วงครึ่งหลังของปี 2553
- ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลังมาตรการกระตุ้นการซื้อรถและบ้านได้หมดอายุลงแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีกหรือไม่ รวมทั้ง จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำต่อไปอีกนานแค่ไหน
- สถานการณ์หนี้ในยุโรปที่อาจจะขยายตัวเป็นวงกว้างขึ้นอีกและมีโอกาสลุกลามไปยังภูมิภาคอื่นๆ ด้วย ซึ่งนโยบายของรัฐบาลในการลดรายจ่ายในประเทศ อาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยุโรป
- นโยบายการเงินตึงตัวของจีน น่าจะส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการใช้น้ำมันของจีนในช่วงครึ่งปีหลังชะลอตัวลง รวมทั้ง นโยบายการปล่อยค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้น ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนด้วย
- ความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ การใช้น้ำมันในภาคอุตสหกรรมและขนส่ง อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจโลกอาจจะส่งผลต่อการใช้น้ำมันได้
- ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของโอเปคน่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีก แต่คาดว่า โอเปคน่าจะชะลอการปรับขึ้นโควตาการผลิตไปยังปีหน้า ในขณะที่ปริมาณน้ำมันคงคลังทั่วโลกก็น่าจะค่อยๆ ปรับลดลง แต่ยังคงอยู่สูงกว่าระดับปกติ
- ปัจจัยอื่นๆ เช่น ความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบ เช่น อิหร่านและไนจีเรีย รวมทั้งฤดูกาลเฮอริเคนในปีนี้ที่คาดว่าจะรุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าว น่าจะมีผลกระทบต่อราคาในระยะสั้น เนื่องจากมีกำลังการผลิตน้ำมันส่วนเกินอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งปริมาณน้ำมันคงคลังทั่วโลกก็อยู่ในระดับสูง

ที่มา : บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หลักการลงทุนสำหรับนักลงทุนมือใหม่

chinese new year Graphics


ในการลงทุนนั้นมีหลักการที่ง่ายมากๆ ยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ตอนนี้แล้วนานๆมีครั้งที่เราจะได้ช็อปของดีราคาถูกซึ่งตอนนี้ลดราคากระหน่ำ 50-80% แล้ว ถ้ามีเงินเยอะก็ซื้อไว้เยอะ มีเงินน้อยก็ซื้อไว้น้อยตามกำลัง แต่ต้องเผื่อเงินสดไว้ด้วยสัก 10-20% ก็น่าจะดี หลักการลงทุนในหุ้นสำหรับมือใหม่นั้นไม่ยากเลย มือใหม่ก็รู้อยู่แล้วว่าด้อยประสบการณ์มากเปรียบเทียบกับการขับรถ ถ้าท่านเป็นมือใหม่กำลังหัดขับรถโอกาสที่จะขับรถเฉี่ยวชนมีมากกว่า 50% แน่นอน คนนั้นแนะนำอย่างนั้น คนนี้แนะนำอย่างนี้ ตอนแรกจะเชื่อหมด ที่จริงแล้วคนแนะนำเขาแนะนำตามที่เขามีประสบการณ์มาแต่มือใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ซึ่งจะทำให้เอาข้อมูลคำแนะนำไปใช้ยังไม่ได้ครบร้อยเปอร์เซ็น ต้องเจอกับตัวเองก่อนหรือมีประสบการณ์กับเหตุการณ์นั้นก่อนถึงจะรู้ซึ้งว่า โอ้ว....มันเป็นแบบนี้นี่เอง

นักลงทุนมือใหม่ทุกคน เมื่อเข้ามาลงทุนครั้งแรกจะต้องเสียค่าวิชามากบ้าง น้อยบ้าง ผมก็มีประสบการณ์ขาดทุนมาเยอะตั้งแต่เริ่มลงทุน หนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับหุ้นซื้อมาอ่านหมด เช่น หนังสือตีแตก ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร คำภีร์หุ้นของคุณโสภณ ด่านศิริกุล และหนังสือหุ้นอื่นๆ อ่านครั้งแรกสับสนเหมือนกัน เพราะสไตล์การลงทุนของแต่ละท่านจะแตกต่างกันมาก ท่าน ดร.นิเวศน์ จะสอนการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Values investment) สอนให้เป็นนักลงทุนมากกว่าการเล่นหุ้น ให้ถือยาว ส่วนท่านอื่นๆจะสอนการเล่นหุ้นมากกว่าการลงทุนในหุ้น พออ่านมากๆสับสนครับไม่รู้จะลงทุนยังงัย อ่านหลายๆรอบก็พอจะรู้แต่รู้ไม่ลึก

พอคิดว่าความรู้แน่นแล้วก็เปิดบัญชีซื้อขาย ซื้อตอนแรกก็พอได้ตังค์ พอได้ตังค์แล้วคิดว่าตัวเองเก่งมั่นใจเกือบเต็มร้อย ทุ่มเต็มที่ ในที่สุดเลือดสาด....ครับพี่น้อง ขาดทุนเยอะเหมือนกัน จากนั้นก็ได้มาอ่านหนังสือเล่มเดิมอยู่หลายรอบ จึงรู้ว่าหนังสือที่เราอ่านเล่มเดียวกัน เมื่ออ่านต่างกรรมต่างวาระจะเข้าใจต่างกันมากๆเลย ยิ่งอ่านมากยิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นแมงเม่าเข้าตำราที่เขียนไว้เลย นี่แหล่ะเขาเรียกว่ามือใหม่หัดลงทุน (มือใหม่ดีนะครับ มีใครมั้ยที่ไม่ชอบของใหม่...ฮ่า ฮ่า)

หลังจากนั้นได้นั่งคิด นอนคิด ทบทวนการลงทุนของตัวเองว่าถ้าเราเป็นมือใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ เราต้องค้นหาสไตล์การลงทุนของตัวเองก่อน ก่อนที่จะลงทุน เพราะถ้าเล่นแบบมวยวัดแล้วล่ะก็มีแต่เจ้งกับเจ้ง ตอนนั้นก็คิดมากเหมือนกันแต่คิดยังงัยก็คิดไม่ออก พอดีช่วงนั้นมีเวลาว่างเยอะได้ออกไปดูบอลกับเพื่อนๆทำให้ไม่มีเวลามาคิดเรื่องหุ้นมากนัก อยู่ดีๆก็เกิดปิ้งไอเดียขึ้นทันที การลงทุนในตลาดหุ้นเหมือนกีฬาฟุตบอล (ในช่วงที่เรียนมหา’ลัย ติดการพนันฟุตบอลมากๆเลย ต้อง **** ทุกวันถ้าหากมีการแข่งขัน โดยไม่รู้ข้อมูลของทีมที่จะแข่งมากนัก แต่ก็ **** ส่วนมากจะเสียมากกว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า) การลงทุนในหุ้นไม่ต่างจากกีฬาฟุตบอล เราเป็นผู้จัดการ ส่วนหุ้นเป็นนักเตะที่เราคิดว่าเตะดีเราจึงซื้อ แต่นักเตะในหุ้นของเราไม่ควรเยอะเหมือนฟุตบอลนะ ถ้าอยากได้เยอะควรไปซื้อกองทุนรวมน่าจะดีกว่าเพราะมีคนดูแลให้ สำหรับการจัดทัพของผมคือ 6-3-1 เน้น defensive ป้องกันไว้ก่อน ซื้อนักเตะกองหลังสัก 2-3 ตัว เช่น Rio Ferdinand ,Jhon Terry เป็นต้น ถ้าเป็นหุ้นต้องเป็นหุ้นบลูชิพ BLUE CHIP 1-10 อันดับแรก เป็นกองหลังที่แน่นปึกไม่ล้มละลายได้ง่ายๆ ต่อไปเลือกกองกลาง เช่น Steven Gerrard ,Frank Lampard หรือ Harry Kewell(คนนี้ชอบเป็นการส่วนตัวชอบมาตั้งแต่อยู่กับ LEEDS UNITEDแล้ว)เป็นต้น ในหุ้นก็เหมือนกัน เราควรเลือกหุ้นขนาดกลาง คาดว่าจะเติบโตเร็ว หวือหวาหน่อยโดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก www.settrade.com พอเลือกกองกลางเสร็จแล้วต่อไปเลือกกองหน้า การเลือกกองหน้านั้นผมเปรียบเสมือนการเล่น day-week-month trading เราต้องเลือกตามกระแส เช่นนักเตะกองหน้าที่กำลังดังๆ แต่ค่าตัวอาจจะแพงหน่อย หรือดาวรุ่งกำลังมาแรงแต่ราคายังไม่แพง การเลือกหุ้นในการเล่นก็เหมือนกัน หาหุ้นที่คนกำลังสนใจแล้วเข้าไปร่วมแจม แต่ต้องเข้าเร็วออกเร็วนะถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว เจอคู่แข่งที่เล่นหนักอาจจะโดนเสียบขาหักได้ ฮ่า ฮ่า

หากมีเงิน 1 ล้าน ซื้อกองหลัง 2-3 ตัว สัก 6 แสน เซ็นสัญญาสัก 3-5 ปี
ซื้อกองกลาง 2 ตัว สัก 3 แสน เซ็นสัญญาสัก 1-2 ปี
กองหน้า 1 ตัว สัก 1 แสน เซ็นสัญญา วันนึง สัปดาห์นึงหรือ 1-2-3-4-5-6เดือนก็แล้วแต่ว่านักเตะยังโชว์ฟอร์มได้ดีรึเปล่า
หากมีทุนน้อยก็ซื้อตามน้อยนะครับ สโมสรไม่ได้มีชื่อเสียงง่ายๆแค่วันสองวันแต่ต้องเป็นทศวรรษหรือมากกว่า เรื่องความรวยก็เช่นเดียวกันครับไม่ต่างกันเลย
แค่นี้ก็สบายใจในการเล่นแล้ว รับรองเต็มเป๋า.........ชัวววววววววร์

โดย KEWELL007

เสี่ยงกว่าไหมถ้าไม่ลงทุน

chinese new year Graphics


ความเสี่ยงในการลงทุนคืออะไร

ในทางทฤษฎีแล้ว ความเสี่ยงในการลงทุน คือ ภาวะที่นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนไม่เป็นไปตามที่นักลงทุนคาดหวัง ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับนี้อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าที่คาดหวังก็ได้ แต่ในความเป็นจริงดิฉันคิดว่านักลงทุนทุกคนคงจะกลัวที่จะได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่ตนคาดหวังไว้แน่นอน

ความเสี่ยงจากการลงทุนมีอะไรบ้าง

1. ความเสี่ยงจากปัจจัยภายในของสินทรัพย์ที่เราลงทุน เช่น ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของบริษัทที่เราลงทุน ความเสี่ยงจากกระแสนิยมบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น

2. ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ, ปัญหาทางการเมือง, ภัยพิบัติต่างๆ ทั้งจากธรรมชาติและการก่อการร้าย เป็นต้น

วิธีการบริหารความเสี่ยงจากการลงทุน

วิธีการบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนที่ดีวิธีหนึ่ง ก็คือ การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ตามการกระจายความเสี่ยงนี้ไม่ใช่การหว่านเงินแบบกระจายๆ ลงในสินทรัพย์หลายๆ ชนิด แต่จำเป็นต้องศึกษาและเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์แต่ละชนิด เพื่อที่เราจะสามารถคัดเลือกสินทรัพย์เพื่อการลงทุนของเราได้อย่างเหมาะสม

สินทรัพย์ทางเลือกเพื่อการลงทุน

นอกจากสินทรัพย์พื้นฐานที่คนส่วนใหญ่นิยมลงทุน อาทิ หุ้นสามัญ, พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชนแล้ว เรายังมีสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อการลงทุน (Alternative assets) อาทิ

1. การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ผ่านตลาดล่วงหน้า เช่น ทองคำ น้ำมัน สินค้าเกษตร ซึ่งราคาเคลื่อนไหวตามอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลกโดยเฉพาะสินค้าเกษตรนั้นคาดการณ์ได้ไม่ยากเพราะราคาเคลื่อนไหวตามฤดูกาลการผลิตและฤดูกาลบริโภค ทั้งนี้หากท่านผู้อ่านท่านใดสนใจการลงทุนในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่

2. อสังหาริมทรัพย์หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องสัญญาและสภาพคล่อง รวมถึงการลงทุนในภาวะฟองสบู่ที่อาจเกิดขึ้นจากการเก็งกำไรมากจนเกินไป

3. การลงทุนในต่างประเทศ เช่น หุ้น หุ้นกู้ และพันธบัตร ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้พอร์ตของเรามีผลตอบแทนและความเสี่ยง 2 ทาง คือ ภาวะตลาดทุนในต่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน

4. การลงทุนในของสะสม (Collectibles) เช่น พระเครื่อง วัตถุโบราณ ภาพเขียน เหรียญที่ระลึก แสตมป์ ฯลฯ ซึ่งการลงทุนในประเภทนี้อาจให้ผลตอบแทนในรูปส่วนต่างของราคาที่สูงมาก แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องการแยกแยะของจริง-ของปลอม และการประเมินมูลค่าที่แท้จริงในการตัดสินใจลงทุน

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่านอาจยิ่งรู้สึกกลัวความเสี่ยงมากขึ้น เพราะแม้แต่สินทรัพย์ทางเลือกเพื่อการลงทุนก็ยังมีความเสี่ยงหลายด้าน ทำให้หลายท่านตัดสินใจทนอยู่กับการฝากเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำๆ เพราะไม่ต้องการเสี่ยงอะไรเลย แต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำเช่นนั้น ลองมาดูความเสี่ยงของการไม่ยอมลงทุนเสี่ยงกันก่อนค่ะ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่วางแผนเกษียณอายุโดยการเก็บสะสมเงินอยู่ในธนาคารตลอดระยะเวลาทำงานหลายสิบปี แม้พวกเขาเหล่านั้นจะมีเงินเก็บออมไว้ใช้ โดยไม่ขาดทุนหรือสูญหาย แต่การใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยดอกเบี้ยเงินฝากนั้นอาจไม่เพียงพอ ยิ่งถ้าหากคนผู้นั้นไม่มีลูกหลานดูแล ไม่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล แต่มีอายุยืนเป็นของแถมแล้วล่ะก็ ยิ่งเป็นความเสี่ยงที่น่ากังวล ที่สำคัญเมื่อถึงเวลานั้นการแก้ไขปัญหานี้อาจทำได้ยาก ดังนั้นอย่ากลัวการลงทุนเพราะความเสี่ยง เพราะคุณอาจมีชีวิตที่เสี่ยงกว่าถ้าไม่ลงทุน

ผู้เขียน: ฝ่ายวิจัยและพัฒนา AFET

หยวนแข็งดูดทุนป่วนเอเชีย

chinese new year Graphics



จีนปรับค่าหยวนกดดันแบงก์ชาติทั้งภูมิภาคบริหารค่าเงินใกล้ชิด นักบริหารเงินเตือนระวังกระแสทุนไหลเข้าทะลักท่วมเอเชีย ซ้ำด้วยการเก็งกำไรค่าเงิน " สมภพ มานะรังสรรค์"ชี้ เปิดโอกาสนักลงทุนสหรัฐฯเก็งกำไร แทนภาคการผลิตในประเทศที่หดหาย

วงการธุรกิจเห็นพ้อง หยวนแข็งค่าเทียบกับบาทส่งผลบวกทันทีการส่งออก-ท่องเที่ยว ระวังอย่าให้แข็งแซงหน้าหยวน เลขาฯสภาพัฒน์แนะไทยเพิ่มลงทุนในจีน พร้อมหาพันธมิตรประเทศในภูมิภาคอาเซียน

ภายใต้การดำเนินการของทางการจีน ที่ประกาศเพิ่มความยืดหยุ่นค่าเงินหยวน ที่ระดับ 6.8275 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกา โดยให้ค่าเงินหยวนสามารถเคลื่อนไหวในแต่ละวันได้ไม่เกินกรอบบวกหรือลบ 0.5 % เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากค่ากลางดังกล่าว และไม่เกินกรอบบวกหรือลบ 0.3 % เมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร เยน ดอลลาร์ฮ่องกง และเงินปอนด์ (สกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่เงินดอลลาร์) และจะดูแลการปรับเพิ่มค่าเงินหยวนแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การปรับเพิ่มค่าเงินหยวนแบบฉับพลัน (No One-Off Revaluation) เพื่อลดแรงกดดันจากชาติสมาชิก จี-20 ทั้งแอฟริกาใต้ บราซิล สหรัฐฯและสหภาพยุโรป ที่อาจใช้เวลาในการประชุมกลุ่มจี -20 (วันที่ 26-27 มิถุนายน) เรียกร้องให้จีนปรับเปลี่ยนอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินใหม่ สาเหตุจากจีนปล่อยให้หยวนอ่อนค่ากว่าความเป็นจริงทำให้สินค้าจีนราคาถูกมาก จนเกิดความไม่สมดุลสำหรับตลาดการค้าโลกนั้น

หยวนแข็งผลดีศก.โลก

นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากการที่จีนปรับค่าเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น จะช่วยภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของไทยปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการหลายประเทศ สามารถส่งสินค้าไปจำหน่ายยังจีนได้มากขึ้น ซึ่งจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ อยู่ในช่วงของการพัฒนาจึงมีความต้องการนำเข้าสินค้าเพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง ขณะที่ภาคการส่งออกของไทยก็จะได้ประโยชน์ด้วย จากปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกไปจีนประมาณ 12% ของสัดส่วนการส่งออกทั้งหมด ขณะเดียวกันภายใต้การดำเนินนโยบายดังกล่าว จะเป็นผลบวกต่อประเทศจีนในการช่วยลดแรงกดดันต่อการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อลง ขณะที่เศรษฐกิจจีนเองก็มีความแข็งแกร่ง รวมทั้งที่ผ่านมา จีนเองก็มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น การเพิ่มความยืดหยุ่นของเงินหยวนจึงถือเป็นการสะท้อนพื้นฐานเศรษฐกิจของจีนที่มากขึ้น " การปรับค่าเงินหยวนในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปเป็นนโยบายที่ดี ช่วยให้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น ซึ่งหลังจีนประกาศนโยบายดังกล่าว ค่าเงินบาทแข็งค่าสอดคล้องกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค ดังนั้น คงไม่มีประเด็นความได้เปรียบเสียเปรียบกับคู่แข่งขัน โดยตั้งแต่ต้นปีมาค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าเฉลี่ย 3.1% การแข็งค่าของเงินบาทถือสอดคล้องกับพื้นฐานและกลไกทางเศรษฐกิจ ซึ่งหากค่าเงินไม่ผันผวนมาก ก็ถือเป็นประโยชน์ต่อการปรับตัวของภาคเอกชน"นายบัณฑิตกล่าว

*สศช.แนะลงทุนในจีน

ด้านนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. ) แนะว่า นักลงทุนไทยควรเข้าไปมีส่วนร่วมการลงทุนในประเทศจีนมากขึ้น โดยร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน ในฐานะที่ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยหลังจีนปรับค่าเงินหยวน คงต้องใช้เวลาในการประเมินสถานการณ์ในระยะหนึ่ง "การยืดหยุ่นค่าเงินหยวนจะเป็นการเพิ่มกระตุ้นการลงทุนในจีนมากขึ้น ส่งผลดีให้เกิดการจ้างงานในประเทศจีนมากขึ้น และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจจีนในระยะยาวมากขึ้น ค่าเงินหยวนจะมีความเป็นสากล " นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)มองว่า จากนี้ไปความเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวนในแต่ละวันจะกว้างขึ้น 0.10-0.20 % จากเดิมอยู่ที่ 0.01-0.02 % แต่ขึ้นอยู่กับการแทรกแซงจากทางการจีน ซึ่งจีนน่าจะค่อย ๆ ปล่อยค่าเงินหยวนให้แข็งค่าแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยรวมทั้งปีนี้ค่าเงินหยวนมีโอกาสแข็งค่าได้ 2 % และปีหน้าเฉลี่ย 3%สอดคล้องผลการสำรวจนักวิเคราะห์ของBloomberg ที่คาดเงินหยวนจะแข็งค่ารวม 2% ภายในสิ้นปีขณะที่ตลาดคาดว่า เงินหยวนจะแข็งค่าขึ้นราว 3 % ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า

หยวนแข็ง3% ใน 1 ปี

ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ความรวดเร็วและขนาดของอัตราการแข็งค่าของเงินหยวนน่าที่จะถูกบริหารจัดการอย่างใกล้ชิดจากทางการจีนต่อไป โดยประเมินเงินหยวนอาจขยับแข็งค่าขึ้นอีกราว 1.8 % ภายในสิ้นปีนี้ โดยในระยะ 12 เดือนข้างหน้าอีกประมาณ 3.0 % ซึ่งนับว่าเป็นอัตราการแข็งค่าที่ไม่มากนัก หากเทียบกับอัตราการแข็งค่าเฉลี่ยประมาณ 6.3 % ต่อปี ในช่วงเวลา 3 ปี หลังการปฏิรูปเงินหยวนกลางปี 2548 แนวโน้มค่าเงินหยวนที่จะแข็งค่าจะส่งผลดีต่อสกุลเงินในภูมิภาคให้แข็งค่าตาม โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์ ริงกิต วอน รวมทั้งปัจจัยบวกต่อการลงทุนของสินทรัพย์ในเอเชีย ทั้ง ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตรรัฐบาล และอาจมีผลด้านจิตวิทยาเชิงบวก ต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ประเภทถ่านหินและน้ำมันด้วย สำหรับประเทศไทยก็จะรับอานิสงส์อย่างน้อยช่วงสั้น ๆ ทั้งการลงทุนในตลาดหุ้น และค่าเงินบาท ที่แข็งค่าตามสกุลเงินในภูมิภาค โดยภาคการส่งออกของไทยผลกระทบไม่มาก จากค่าเงินหยวนและค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น แต่ครึ่งปีหลังกำลังซื้อ(อุปสงค์)อาจแผ่วลง เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปมีปัญหาหนี้สาธารณะอยู่ และจีนเองที่ใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น

*นักลงทุนสหรัฐฯเก็งกำไร ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ ผู้อำนวยการ ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะทางการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทย โดยใช้นโยบายการคลัง-การเงินให้มีประสิทธิภาพ ลดการใช้นโยบายเพื่อสนองนโยบายประชานิยม ทั้งนี้ เพื่อการปรับตัวได้อย่างยืดหยุ่นตามกระแสตลาดโลก เพราะแนวโน้มค่าเงินหยวนจะลากค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคเอเชีย ให้แข็งค่าในระยะ 1-2 ปี ส่งผลต่อการเก็งกำไรค่อนข้างสูงทั้งตลาดเงิน ตลาดทุนและสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า เช่น สินค้าเกษตร น้ำมันและเหล็ก เป็นต้น ขณะที่ผู้ส่งออกต้องเตรียมความพร้อมป้องกันความเสี่ยงรองรับความผันผวนของสกุลเงินภูมิภาคเช่นกัน
"เมืองไทยจะได้ประโยชน์จากการขาดดุลการค้าจีนน้อยลงในระยะสั้น 6 เดือนถึง 1 ปี และสามารถแข่งขันกับสินค้าจีนที่ส่งไปขายในประเทศโลกที่ 3 แต่แนวโน้มค่าหยวนแข็งค่าจะลากสกุลเงินในเอเชียให้แข็งค่าตาม เปิดโอกาสนักลงทุนสหรัฐ ฯ หากินกับการเก็งกำไรตลาดเงิน หรือทั้งภาคตลาดเงินและตลาดทุน แทนภาคการผลิตหรือเรียลเซ็กเตอร์ของสหรัฐฯที่อ่อนแอลงอย่างเห็นชัด" ดร.สมภพกล่าว

*เงินทุนไหลเข้าท้าทายแบงก์ชาติเอเชีย

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยฝ่ายเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ).ระบุว่า ปัญหาเงินทุนไหลเข้าจะเป็นความเสี่ยงและความท้าทายของธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งการแข็งค่าของเงินหยวน จะทำให้ต่างชาติอยากใช้สกุลเงินอื่นเก็งกำไรจากหยวน โดยเฉพาะประเทศเกาหลี มาเลเซีย และไทย ที่ได้อานิสงส์จากการที่จีนนำเข้าค่อนข้างสูง ที่ผ่านมาธนาคารกลางส่วนใหญ่พยายามเข้าดูแลค่าเงิน รวมทั้งธปท.ก็พยายามซื้อเวลาช่วยเหลือผู้ประกอบการเช่นกัน แต่แนวโน้มที่ค่าเงินจะผันผวนสูงขึ้น เวลานี้ต้นทุนในการซื้อประกันความเสี่ยงยังอยู่ในระดับต่ำ จึงแนะนำผู้ส่งออกซื้อประกันความเสี่ยงไว้ โดยเฉพาะผู้ส่งออกที่มีรายรับในรูปของสกุลเงินยูโร ซึ่งธนาคารประเมินว่า ค่าเงินบาทต่อยูโรจากขยับเป็น 37 บาท ต่อยูโรภายในสิ้นปีนี้จากปัจจุบันอยู่ที่ 39.8 บาทต่อยูโร ทั้งนี้ ความผันผวนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯต่อสกุลเงินในภูมิภาคเอเชียในรอบ 30 วัน พบว่า ค่าเงินวอนแข็งค่าขึ้น 26.44% ริงกิต 11.58% เปโซ 11.05% รูเปีย 9.57% ดอลลาร์สิงคโปร์ 7.69% ไต้หวัน 7.36% เงินบาท 2.9 % ฮ่องกง 1.74% และหยวน 1.46% เป็นต้น

ที่มา : จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ (วันที่ 25 มิถุนายน 2553)

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขายหมูจนได้

chinese new year Graphics


ผมว่าทุกคนคงเคยแหละแบบว่าเวลาเราลงทุน แล้วเงินในพอร์ตลงทุนของเรามันลดลง 10%...15%...20%...ในที่สุดทนไม่ไหว ขายมันซะเลย สบายใจไม่ต้องคิดมาก ถ้าไม่ขายเงินมันจะทำงานถอยหลัง เราจะขาดทุนซะมากกว่า ดูไปแล้วมันเป็นอารมณ์มากกว่าเหตุผลซะอีก


ผมเข้าตลาดหุ้นมาแบบเด็กน้อยหรือแบบแมลงเม่าตัวเล็กๆตัวหนึ่ง เจอพายุเจอฝนเข้าหน่อยแล้วปีกมันชักหนักบินไม่ค่อยขึ้นเซไปเซมา ผมเลยหาหนังสือต่างๆอ่านมากมาย แต่มันก็เท่านั้นถ้าไม่ได้ลองสนามจริง ผมเริ่มเก็บเงินเล็กๆน้อยๆมาลงทุน ความตั้งใจครั้งแรกของผมจะลงทุนระยะยาวแบบว่า มากกว่า 5 ปีขึ้นไป อย่างไงหุ้นก็เป็นสินทรัพย์มันต้องขึ้นทุกปีตามเงินเฟ้อ ไหนจะเงินปันผลอีก อย่างไงหุ้นมันก็น่าลงทุนระยะยาวจริงๆครับ


ผมก็เริ่มเก็บเล็กผสมน้อยแบบว่าทยอยลงทุนไปเรื่อยๆ เลือกลงทุนแบบชาว vi โดยผมวิเคราะห์เองแบบมั่วๆ 555 เงินลงทุนของผมก็อยู่ในรูปแบบตราสารทุนผ่านไปเป็น เดือน...3เดือน...6เดือน ราคามันก็กระดิกลงแบบค่อยๆลง ผมก็ช้อนซื้อเอาเพราะราคามันถูกลงได้จำนวนหุ้นมากขึ้น แอบดีใจ (หรือเสียใจดี 555)


ไม่นานผมก็เริ่มดูเงินในพอร์ตมันลดลงไปเกิน10% แล้วใจมันเริ่มหวั่นไหว แต่ก็ไม่ขายหรอกครับเพราะมันขาดทุนและผมก็จะลงทุนยาวซะด้วย ผมก็ช้อนซื้อต่อไป เพราะราคามันลดลงมากๆ ไม่นานเกินรอผ่านไปอีกแค่เดือนเดียวราคาลดลงมากกว่า 15% ผมลังเลแล้วก็ขายไปในที่สุด 555 ขาดทุนไปเต็มๆ

มันเกิดจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล เพราะพื้นฐานของบริษัทยังดีอยู่เลย พอมาดูวันนี้หุ้นที่ผมเคยเล่น ถ้าผมถืออยู่ผมกำไร ประมาณ 10% ต่างจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ไม่ค่อยจะขายหุ้นเอาเลย ถือนานมาก จนแกรวยเอาเป็นอันดับต้นๆของโลก

บทเรียนครั้งนี้เกิดจาก ความไม่นิ่งพอ หวั่นไหวตามอารมณ์รู้อยู่แล้วว่าพื้นฐานไม่เปลี่ยน ถือว่าเป็นเงินค่าร่ำเรียน ที่ต้องจดจำไปอีกนานเลยครับ (เจ็บใจ 555)
[จำไว้ว่าราคาหุ้นในวันนี้ไม่ได้หมายความว่าถูกหรือแพง มันขึ้นอยู่ที่ความพอใจของคนตั้งหากว่ามันถูกหรือแพง]

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เส้นทางอันงดงามของทองคำ

chinese new year Graphics



ถ้าคุณชอบความเสี่ยง มาลงทุนในทองคำก็ได้ เสี่ยงเหมือนกัน แต่เป็นความเสี่ยงบนพื้นฐานของการมีสินทรัพย์ที่จับต้องได้

นับตั้งแต่กระแสทองคำฮอต-ฮิตขึ้นมา ชื่อของ "น.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ" ประธานกรรมการห้างทองแม่ทองสุก เยาวราช ในฐานะของเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ ก็กลายเป็นชื่อคุ้นหูของบรรดานักลงทุนและผู้สนใจในเรื่องทองคำ

หลังจากได้อุทิศตัวเองรับใช้สังคมมาเป็นเวลา 24 ปี คุณหมอกฤชรัตน์ ได้ตัดสินใจวางมือจากวิชาชีพแพทย์ที่ร่ำเรียนมา แล้วหันมาดูแลธุรกิจค้าทองคำ ของครอบครัวอย่างเต็มเวลา เพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจ สำหรับช่วงเวลาที่เหลืออยู่

"หลังจากเรียนจบมาได้ 4 ปี ก็เริ่มสนใจเล่นหุ้น ช่วงนั้นตลาดหุ้นยังเคาะกระดานซื้อขายอยู่เลย แต่ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้ลงทุนอะไร หาเงินได้ก็ฝากแบงก์ไป เมื่อมีเงินเหลือก็มาเล่นหุ้น ผลจากการเล่นหุ้น เลยทำให้เข้าใจเรื่องความเสี่ยงมากขึ้น"

แม้คุณหมอกฤชรัตน์ จะมีพื้นฐานด้านการลงทุนในหุ้นอยู่บ้าง แต่ก็นับเป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะเจอทั้งเหตุการณ์แบล็คมันเดย์ และวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 จึงทำให้ทรรศนะเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนของคุณหมอเปลี่ยนไป

"ประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้ผมเห็นว่าหุ้นมีความเสี่ยงสูงมาก คนหมดตัวกันเป็นแถว ผมเคยขาดทุนจากตลาดหุ้น 70-80% จึงหยุดเล่นไปเลยตั้งแต่ปี 2540 ผมมองว่าคนที่จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย ต้องติดตามข่าวสารค่อนข้างมาก ผมต้องการอะไรที่เสี่ยงน้อยลง เพราะอายุมากขึ้น ไม่สามารถไปเฝ้าตลาดได้ทุกวัน"

นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่ทำให้คุณหมอกฤชรัตน์ หันกลับมาสนใจการลงทุนในทองคำ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของครอบครัวแทน

เขาเริ่มต้นศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับทองคำ ในแง่มุมต่างๆ อย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2538 เมื่อตัดสินใจจะเลิกเล่นหุ้น จึงปรับพอร์ตใหม่ หันมาลงทุนทองคำเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของคุณหมอกฤชรัตน์ร้อยละ 95 อยู่ในทองคำ อีกร้อยละ 5 เป็นเงินฝากธนาคาร ต่างจากการลงทุนก่อนหน้านี้แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

คุณหมอกฤชรัตน์ แนะว่า การลงทุนในทองคำน่าสนใจมากกว่าหุ้น สำหรับคนที่ยังไม่เคยลงทุนในทองคำเลย ลองจัดพอร์ตใหม่ แบ่งเงินสักร้อยละ 20-30 มาลงทุนในทองคำ อีกร้อยละ 70 ก็กระจายไปลงทุนอย่างอื่น โดยเลือกช่องทางที่เหมาะกับความเสี่ยงที่คุณรับได้

"ถ้าคุณชอบความเสี่ยง คุณมาลงทุนในทองคำก็ได้ มีความเสี่ยงเหมือนกัน แต่เป็นความเสี่ยงที่อยู่บนพื้นฐานของการมีสินทรัพย์ที่จับต้องได้ อย่างไรเสีย คุณลงทุนในทองคำยังมีเหลือเป็นทองคำ แต่สำคัญที่สุด คุณต้องแบ่งเงินให้เป็น ”

คุณหมอกฤชรัตน์ ระบุว่า .. ” คนไทยยังแบ่งเงินไม่ค่อยเป็น การแบ่งพอร์ตการลงทุนให้เป็น ต้องกระจายความเสี่ยง ซึ่งเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในการลงทุน"

ผลตอบแทนจากทองคำ ไม่หวือหวาเหมือนหุ้น แต่โดยรวมแล้วดีกว่าเงินฝาก หรือตราสารหนี้แน่นอน โดยผลตอบแทนย้อนหลังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 5-7 เป็นระดับผลตอบแทนที่คุ้มค่าในแง่ของการลงทุนระยะยาวเลยทีเดียว

นั่นเพราะทองคำมีลักษณะคล้ายที่ดินคือ เป็น "สินทรัพย์ที่เพิ่มค่า" ไม่หวือหวา ถ้าซื้อเก็บไว้ราคาจะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าใครคิดจะเข้ามาลงทุนในทองคำเพื่อเก็งกำไร ซื้อวันนี้ พรุ่งนี้ขาย ทองคำคงไม่เหมาะ

"ผมว่ามนุษย์เงินเดือน สามารถลงทุนในทองคำได้ง่ายที่สุด ถามว่าธรรมดาคุณจะลงทุนซื้อหุ้น ถ้าคุณมีเงิน 2 หมื่นบาท แบบนี้จะซื้อได้สักกี่หุ้น แต่ทองคำถ้าคุณอยากออม มีเงินเดือน 1 หมื่นบาท คุณออมได้ ซื้อทองคำเดือนละหนึ่งสลึงใช้จ่ายเดือนละ 7 พันบาท มีนะครับ คนต่างจังหวัดใช้แบบนี้ 1 เดือน แทนที่จะเข้าแบงก์ ก็ซื้อทองคำหนึ่งสลึง ปีหนึ่งเก็บได้เยอะเหมือนกัน ทองคำเก็บก็ได้ ใส่ก็ดี"

ในความเป็นจริง คนไทยคุ้นเคยกับการซื้อทองคำอยู่แล้ว แต่เป็นการซื้อเพื่อการบริโภคไว้สวมใส่มากกว่า ตรงนี้ถ้าเปลี่ยนมุมมองนิดเดียว สามารถซื้อทองเพื่อการลงทุนได้ทันที

การลงทุนในทองคำสามารถทำได้ 2 ลักษณะ คือ ถ้าจะซื้อทองเพื่อการลงทุนอย่างเดียว คุณหมอกฤชรัตน์แนะให้ซื้อเป็นทองคำแท่งดีกว่า ซื้อแล้วเก็บอย่างเดียว จะมีต้นทุนการซื้อขายต่ำ 100 บาทต่อทองคำ 1 บาท

หรือถ้าจะซื้อแบบสวมใส่ได้ด้วย ก็ควรซื้อเป็นทองรูปพรรณ จะมีค่าแรงเพิ่มเข้ามา หรือที่เรียกกันว่าค่ากำเหน็จ มีต้นทุนในการซื้อขาย 300-500 บาทต่อทองคำ 1 บาท

ข้อดี คือ กำไรที่ได้จากการลงทุนในทองคำ ไม่ต้องนำไปเสียภาษี นอกจากนี้ ทองคำ ยังเป็นช่องทางที่มีสภาพคล่องสูง สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย และเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก เพราะราคาทองคำในประเทศ ก็อิงมาจากราคาทองคำโลก

"ถ้าคุณจะไปกู้เงิน แบงก์บอกเอาที่ดินมาวาง ถึงจะเอาเงินสดไปได้ ขั้นตอนการอนุมัติของแบงก์ก็ใช้เวลานาน สมมติที่ดิน 100 บาท แบงก์อาจจะอนุมัติให้คุณแค่ 70 บาท หรือ 50 บาท แต่ถ้าคุณลงทุนในทองคำ เมื่อไรที่ขาดเงิน คุณสามารถเดินเข้าร้านทอง ขอเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที 90 เปอร์เซนต์ หรืองแย่ที่สุด 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งดีกว่าเยอะ"

ใครที่ยังไม่มีทองคำไว้ในพอร์ตการลงทุน คุณหมอกฤชรัตน์ แนะว่า น่าจะลองจัดสรรเงินลงทุนส่วนหนึ่ง มาซื้อทองคำเอาไว้บ้าง เพราะถือเป็นอีกหนึ่งช่องทาง ที่สามารถสร้างผลตอบแทนอย่างงดงามให้คุณไว้เชยชมได้แน่นอน

น.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ

ความสำคัญของนักลงทุนต่างประเทศ

“ ความสำคัญของนักลงทุนต่างประเทศ”

chinese new year Graphics


มนุษย์เริ่มทำการค้าครั้งแรกตั้งแต่มีการเริ่มออกหาอาหารและมีส่วนเกินจากความจำเป็นในชีวิตประจำวันขึ้น ทำให้เกิดการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนกันแล้วจึงเกิดการขยายตัวอย่างกว้างขวางแพร่หลายมากขึ้น หลังจากที่มนุษย์รู้จักการเดินเรือ จึงได้มีการเดินทางเพื่อแลกเปลี่ยน ติดต่อสื่อสาร ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นการแลกเปลี่ยนอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก การพัฒนารูปแบบการค้า ได้มีการปรับปรุงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องของการซื้อขาย และมีมาตรวัดในการวัด***ส่วนแต่ละอย่างนำไปสู่การบรรจุ***บห่อเพื่อสร้างความสะดวกช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับตัวสินค้า นอกจากนี้สิ่งสำคัญของการค้าขายดังกล่าวคือมนุษย์ได้นำเอาหลักความยุติธรรมในการซื้อขายและแลกเปลี่ยน เพื่อนำไปสู่การเริ่มต้นของการลงทุนซึ่งเกิดขึ้นในกลุ่มของมนุษย์ที่แตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสินค้าชนิดใดจากแหล่งผลิตใดบนโลกนี้ทุกคนสามารถหาซื้อได้จากทุกหนทุกแห่งบนโลก โลกเราวันนี้ได้ลดขนาดและเพิ่มวิธีติดต่อสื่อสารได้อย่างสะดวกสบายจนอาจจะเรียกได้ว่า พรมแดนของโลกเรานี้ได้ถูกพังทลายลงไปแล้ว หลาย ๆ ประเทศที่ใกล้ชิดกันได้ทำหารจับกลุ่มเพื่อก่อให้เกิดสิทธิประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่มของตนเองอย่างกว้างขวางโดยนำไปสู่การรวมการปกครองระบบเศรษฐกิจ สังคมแบบเดียวกัน อย่างการที่รัฐต่าง ๆ ของอเมริกามารวมประเทศเป็น สหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่แคนาดา ทางด้านยุโรปมีการรวมกลุ่ม EU ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงโดยมีพื้นฐานจากการรวมตัวของประเทศที่มีขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจหรือแม้แต่ภาษาที่แตกต่างกัน แต่เหนือสิ่งอื่นได้ หลังจากเกิดการรวมกลุ่มแล้ว ทุกประเทศต่างได้รับผลประโยชน์เช่นเดียวกันและประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาที่มีการรวมกลุ่มกันเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการค้าการลงทุนเพื่อนำไปสู่อำนาจการต่อรองที่มากขึ้น

นอกจากนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดการรวมกลุ่มประเทศ ASEAN ขึ้น โดยในตอนแรกนั้นเป็นการรวมกลุ่มกันเพื่อความมั่นคงทางการทหาร แต่ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมาถึงเรื่องของการค้าและการลงทุน โดยเอาแบบอย่างที่เกิดขึ้นใน EU มาเป็นต้นแบบ แต่ความคืบหน้านั้นกลับไม่รวดเร็ว เพราะมีการร่วมมือต่ำและประสิทธิภาพก็ไม่ดีนัก จนในปัจจุบันจากความสำเร็จของ EU ทำให้ GDP ของ EU มากที่สุดในโลก เหนือกว่าสหรัฐอเมริกาเสียอีก

การค้าการลงทุนจะประสบความสำเร็จได้นั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ หรือกลุ่มประเทศนั้น ๆ ว่าจะรวมกลุ่มกันอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ต้นทุนประหยัดลงได้เท่าไหร่ เพื่อดึงดูดการค้า และเงินลงทุนเข้ามาสู่กลุ่มหรือประเทศของตนเองให้ได้มากที่สุด ดังที่เราจะเห็นได้จากการที่จะมีเงินลงทุนไหลเข้าสู่ประเทศใด ๆ นั้น จะต้องสามารถที่จะขยายการค้าไปสู่ประเทศในกลุ่มหรือนอกกลุ่มได้ง่ายขึ้น วันนี้เราจึงเห็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายที่ต้องการขายสินค้าไปทั่วโลก เลือกที่จะลงทุนในประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ และสามารถส่งสินค้าออกขายในประเทศที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับฐานการผลิตนั้นได้โดยปราศจากภาษี หรือหากมีก็อยู่ในอัตราที่ต่ำ

มีผู้บริโภคจำนวนมากในยุคปัจจุบันที่ซื้อสินค้าโดยยึดเอาตราหรือยี่ห้อเป็นหลักในการพิจารณาเลือกซื้อ โดยไม่คำนึงว่าสินค้านั้นจะผลิตที่ใด เพราะบริษัทแม่ของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้มีการควบคุมคุณภาพการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพเท่าเทียมกัน พฤติกรรมผู้บริโภคเช่นนี้ทำให้มีการขยายตัวในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ผลประโยชน์จึงตกมาอยู่ที่ผู้บริโภคที่สามารถซื้อสินค้าได้โดยไม่จำกัดเรื่องสัญชาติ ทุกอย่างเป็นไปตามควบคุมต้นทุน และตามมาตรฐานการควบคุมคุณภาพของบริษัทแม่

นักลงทุนจากต่างชาติ ( Foreign Direct Investment ) หรือ FDI ถือได้ว่าเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับดันเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศกำลังพัฒนา ยกตัวอย่างให้เห็นว่าเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ประเทศที่สามารถดึงดูดเอา FDI ได้มากที่สุดคือญี่ปุ่น เพราะต้นทุนการผลิตยังต่ำอยู่ และประชากรของญี่ปุ่นก็เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ และญี่ปุ่นเองก็ต้องการเงินจำนวนมหาศาลมาพัฒนาประเทศหลังจากที่ได้รับความบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 2

ขณะนั้นนักลงทุนต่างชาติต่างเทเงินลงทุนทั้งหมดไปที่ญี่ปุ่น และมีส่วนสำคัญที่การเมืองของประเทศตะวันตกที่กังวลว่า หากญี่ปุ่นหลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ตามรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ จะทำให้สถานภาพทางการเมืองของภูมิภาคนี้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เพียง 10 ปีเท่านั้น ประเทศญี่ปุ่นก็สามารถกลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง ส่งผลให้ต้นทุนต่าง ๆ ถีบตัวสูงขึ้นมาก จนญี่ปุ่นต้องย้ายการลงทุนไปยังประเทศข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง ซึ่งส่งผลให้ประเทศเหล่านี้เติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลของญี่ปุ่น ประกอบกับเม็ดเงิน และความรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ของประเทศตะวันตกได้ไหลบ่าเข้าไปด้วย ทำให้ช่วงระยะเพียง 10 ปีเช่นกัน เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ก็ได้พัฒนาอย่างหน้ามือเป็นหลังมือในเรื่องของการค้า การลงทุน การเงิน และการธนาคาร ที่เป็นเช่นนี้เพราะประชากรของทั้งสามประเทศนี้

เป็นแรงงานที่พร้อมจะเรียนรู้ และรัฐบาลเองก็เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ระบบกฎหมายการลงทุน กฎหมายแรงงานต่าง ๆ ที่ทำให้เหล่านักลงทุนสามารถลงทุนในประเทศเหล่านี้อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ

ต่อมาอีกไม่นานภาพอดีตเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นจากประเทศญี่ปุ่นในฐานะ “ต้นแบบ” ก็ฉายซ้ำไปที่ประเทศทั้งสามนี้ เพราะต้นทุนการผลิตได้สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว 30 กว่าปีที่ผ่านมาการลงทุนจึงเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามายังอาเซียน ซึ่งตอนนั้นลีกวนยู เพิ่งปกครองสิงคโปร์ได้ไม่กี่ปี แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของเขา ทำให้เขามีนโยบายที่เร่งสร้างระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ระบบการศึกษาเพื่อรองรับนักลงทุนจากต่างชาติ และกำหนดมาตรการต่าง ๆ ที่จะเอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนเหล่านี้ให้มากที่สุด โดยยึดเอาอังกฤษเป็นต้นแบบ และให้มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มาวางนโยบายในการบริหาร ทำให้คนสิงคโปร์ในอดีตกลับกลายเป็นคนที่มีความรู้และมีระเบียบมีคุณภาพทัดเทียมกับคนยุโรป

ด้วยเหตุนี้นักลงทุนจากต่างชาติจึงนำเงินลงทุนจำนวนมหาศาลเข้าไปลงทุนในสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือการค้า เพราะเมื่อ 30 กว่าปี่ที่แล้วนั้น ในอาเซียนยังถือว่าระบบต่าง ๆ ยังไม่สะดวก ทำให้นักลงทุนต่างชาติยึดเอาสิงคโปร์เป็นหลักในการขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ สิงคโปร์ก็ผันตัวเองจากประเทศที่ยากจนที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าประเทศไทย กลับกลายเป็นมากกว่าถึง 10 เท่า มาเลเซียเองก็เช่นกัน ได้มีการปรับตัวเพื่อรองรับเงินลงทุนจากต่างชาติตามสิงคโปร์แบบทันทีทันใด หลังจากที่สิงคโปร์ได้มีการแยกตัวออกไป หลังจากที่มาเลเซียมีความพร้อมและมีมาตรการที่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนแล้ว ทำให้นักลงทุนนำเงินมาลงทุนที่มาเลเซียมากขึ้น เงินลงทุนจากสิงคโปร์ก็ไหล่เข้าสู่มาเลเซีย อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ได้ช่วยให้สิงคโปร์และมาเลเซียพัฒนาประเทศไปอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันนี้กองทุนการเงินการลงทุนได้หันเหทิศทางไปลงทุนที่จีน หลังจากที่ที่ต้นทุนในสิงคโปร์และมาเลเซียสูงขึ้น ในช่วง 10 กว่าปี่ที่ผ่านมานี้ ถือว่าจีนเป็นประเทศที่มีเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามากที่สุด ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนกลายเป็นประเทศที่เติบโตมากที่สุดในโลก และมีเงินทุนสำรองในประเทศมากที่สุดในโลก ประเทศที่กำลังตามจีนมาติด ๆ ก็คือเวียดนามเองที่สามารถดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเหมือนกับประเทศที่กล่าวมาข้างต้น เพราะประชากรเวียดนามนั้นเป็นแรงงานที่มีประสิทธิภาพ รัฐบาลเวียดนามเองก็มีความตั้งใจ และพร้อมที่จะออกนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นการวาง

ระบบ และความพร้อมในระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่นโรงไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน หรือแม้กระทั่งกฎหมายการลงทุนใหม่ ๆ ที่เวียดนามดำเนินรอยตามประเทศที่ประสบความสำเร็จมาก่อนแล้ว และนำมาปรับให้เหมาะสมกับเวียดนาม

ผมเชื่อเหลือเกินว่าอีกภายในไม่เกิน 3 ปี ทุกอย่างในเวียดนามจะเสร็จสมบูรณ์และมีความพร้อมการดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติ เพราะเวียดนามอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติเช่น น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินจำนวนมากมายมหาศาล เพียงพอต่อการใช้ในประเทศโดยไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้า และวันนี้เราจะเห็นว่าเวียดนามกำลังจะวิ่งแซงหน้าบ้านเราไปเสียแล้วในผลิตภัณฑ์บางอย่าง โดยเฉพาะในช่วงสองปีที่ผ่านมา สินค้าส่งออก เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ ที่ส่งออกมากกว่าประเทศไทยไปแล้วกว่า 40% ผมคิดว่าทุกอย่างที่ผลิตในเวียดนามได้ดี จะเป็นคู่แข่งของการส่งออกของไทยใน 3-5 ปีข้างหน้า หากเป็นเช่นนั้นประเทศไทยเราจะสูญเสียโอกาส และความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศเหมือน 30 ปีที่แล้วที่เราเคยพลาดท่าให้กับ ฮ่องกง เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซียมาแล้ว หากคนไทยและรัฐบาลไทยยังคงปิดหูปิดตาและไม่ยอมเข้าใจเสียทีว่าการลงทุนจากต่างชาติคืออะไร เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่เคยมีผู้บริหารที่จะนำประเทศไทยไปสู่ระดับสากลอย่างแท้จริง การมุ่งส่งเสริม สนับสนุนสินค้าที่มีมูลค่าต่ำ เช่นสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน หรือการทำอาชีพและวิถีการดำเนินชีวิตแบบโบราณเดิม ๆ แถมเรายังมีกลุ่ม NGO ที่คอยออกมาต่อต้านต่างชาติไม่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศแทบจะทุกชนิด เพราะมัวแต่ไปกลัวว่าต่างชาติจะมายึดประเทศไทย นอกจากนี้เรายังสร้างกฎหมายกีดกันต่างชาติที่มีความสามารถไม่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย การเมืองและระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยเรานั้นยังผูกอยู่กับคนแค่ไม่เกิน 500 ตระ***ลเท่านั้นเอง สาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากความรู้สึกที่เรากลัวว่าจะมีคนที่เก่งกว่าและมีความสามารถมากกว่าเข้ามาแย่ง และแข่งขันทางเศรษฐกิจและการเมืองจากคนกลุ่มเดิมไป ซ้ำยังมีราชการที่แอบแฝงอยู่ในรูปของการคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในยุคปัจจุบัน การที่แรงงานไทยต้องไปหางานทำในต่างประเทศนั้น เป็นเพราะเราตั้งนโยบายไม่ให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และมัวแต่รอคนไทยที่มีความสามารถมาสร้างโครงการใหญ่ ๆ ต่าง ๆ จนทำให้แรงงานไทยต้องออกนอกประเทศ เพราะเราไม่มีการลงทุนด้านอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ เหมือนกับประเทศอื่น ๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้น และเรายังปิดกั้นการลงทุนทั้งที่ประเทศไทยมีพื้นที่กว่า 550,000 ตร.กม. กลับไม่ยอมเปิดรับคนอื่นให้เข้ามาทำงานในประเทศไทย เพียงแต่เรารู้จักที่จะเปิดรับนักลงทุนต่างชาติ และธุรกิจต่างประเทศ ก็จะทำให้ประเทศไทยสามารถประสบความสำเร็จได้

โดย...วิกรม กรมดิษฐ์

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เมื่อผมนอกใจเมีย

chinese new year Graphics



ปี 50 ผมได้เมียคนหนึ่ง คือน้องศุ (spali)

ตอนนั้นผมใช้สินสอด 3.3 บาท ผมดูแล้วว่าน้องเขาหาเงินใช้ได้ pe ต่ำมาก ปันผลปีละ 20 สต. ผมอยู่กินกับน้องมาตลอดกับเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น

จนต้นปี 52 ราคาน้องเขาตกมาเหลือ 1.7 กว่าๆ เพราะโรค อุษา (usa)
แต่น้องเขาซื้อหุ้นตัวเองคืนที่ราคา2.1 ( ผมไม่รู้ว่านี่คือวิธีการที่บอกว่าการซื้อหุ้นคืนถือว่าบริษัทนั้นใช่ได้ ควรต้องซื้อเพิ่มอย่างแรง เพราะบริษัทมีเงินสดเหลือเฟือ)

ผมก็กอดน้องเขาไว้ไม่ปล่อยรับเงินปันผลต่อไป

จนกลางปี 52 ผมไปพบน้องคนใหม่คือ น้องM (mcs)
น้อง m เป็นคนไม่สูง ( market cap น้อย) ไม่ต่อยพูด เงียบๆ

ต่างจากน้องศุ สูงยาว เข่าดี ( market cap มากกว่า) ช่างพูดช่างจา


( คุณอธิป กก ผจถ เป็นคนพูดเก่งมาก ผมครื้มตามที่แกพูดทุกที)


ผมปันใจไปให้น้อง m โดยขายศุ ที่3.5 ไปหาm ที่2.96

ไม่นานผมก็ขาย m ที่ 3.1 ไปหา ศุ ที่3.3
แล้วมาขายศุที่ 3.16 ไปหา mที่ราคา 2.88

น้องศุจับได้ตรับว่าผมแอบไปหาน้อง m คราวนี้น้องศุ ไปเลยครับ
จาก 3.16 ไป4ไป 5 ไป6 ไป 7

ไม่หันหลังกลับมาดูผมอีกเลย ผมกอดน้อง M ไว้ เพราะผมเหงา
น้องm ไม่พูดตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ให้ผม ราคาค่อยๆขึ้นตามแตช้ามากๆ

ผมมานั่งวิเคราะห์ กำไร เงินปันผล รายได้ งานในมือ
เอ....น้องm ไม่เลวเงินปันผลน่าจะดีไม่แพ้น้องศุ

ปรากฎว่ากลางปี น้องศุ ให้มากกว่าน้อง M ผมคำนวณอะไรผิดหรือ

เช็คดู เงินสดมีเยอะมาก หนี้แทบไม่มี order จากญี่ปุ่นก็ยังไม่ลด
ราคาต้องตามน้องศุได้น่า ปลายปี สมหวังครับน้องm ปันผลได้มากกว่าน้องศุ

สรุปทั้งปี น้องทั้ง 2 ปันผลเท่ากัน

แต่ราคาน้องศุ ไปไกลทะลุ 7 บาท น้องm ผมยังไม่ทะลุ 5 บาทเลย
ผมยังมั่นใจน้อง m รักน้อง ต่อไป เพราะน้องศุ งอนผมจนไปไกลแล้ว

จน2วันที่ผ่านมา น้อง m ผมวิ่งฝ่าด่าน 7 บาทมาได้ ผมเชื่อว่า น้อง m ต้องแซงน้องศุได้
แต่วันนี้น้องศุ ดันทะลุ 8 บาท อีกครั้ง

แต่จากงบรายได้ กำไร ผมก็ยังรักน้องm ของผม (จริงๆผม ก็รักน้องศุเหมือนเดิม)


เรื่องนี้สอนให้ผม รู้ว่า ท่านบลู พูดถูก เมืยดีๆต้องมีหลายคน

ทุกวันนี้ผมจะมีเมียดีไว้หลายคน แต่ละคนผมคัดสรรแล้ว ก็ยังนอนกอดอยู่ จนใครๆเขาว่าผมเกาะเมียกิน


อยากบอกว่าหาหุ้นดีๆ ตามการทำงาน ตามงบดุล กำไรขาดทุน
ถ้ายังดีแนวโนม้ยังไปได้ อยากรีบปล่อย เวลาที่เราให้เขา เขาจะทำงานให้เราเอง จนเราพอใจ ( ค่อยไปหาเมียต่อไป เพื่อเกาะเมียกิน)


ปล. เจ๊จู ประกาศหาสามีสิครับ รับรองมึคนเข้าแถวให้เจ๊เลือกเยอะเลยคนดีๆอย่างเจ๊ ใครๆก็รักครับ ผมยังรักเลย แต่เจ๊คงไม่รับผมแน่ๆ เพราะผมเกาะเมียกินครับ.

โดย avatar2009

Link-Seed

  • Link-Seed - ผมได้รวบรวมลิงค์ "การเงิน-การลงทุน" ที่ผมสนใจมาแปะเอาไว้ในบล็อก Link-Seed เพื่อเป็นเครื่องมือในการหาข้อมูลข่าวสาร และนำมาพิจารณาการลงทุนอีกทีหนึ่ง เพื่อนๆ ...
Custom Search
 
Financeseed Copyright © 2009 Blogger Template Designed by Bie Blogger Template